ผู้เขียน l ชีวิตอาจไม่ยืนยาว แต่ขอให้วรรณกรรมนี้ยังคงอยู่เป็นเครื่องประดับปัญญาชน(ฟรี)... (ลิขสิทธิ์การจัดพิมพ์จำหน่าย)
.
วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558
เรื่องที่ 27 ความสุข
การครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหญิงสาวคนหนึ่งเธอคิดว่า ถ้าเธอได้ทำงานดีๆ ชีวิตของเธอคงจะมีความสุข ดังนั้นเธอจึงพยายามมานะอุตสาหะจนได้ทำงานดีๆที่เธอหวัง แต่กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าชีวิตเธอยังขาดอะไรอยู่บางอย่าง
อ๋อ..บ้านและรถยนต์นั่นเอง ดังนั้นเธอจึงตั้งใจประหยัดอดออมเพื่อเก็บเงิน และแล้วในที่สุดเธอก็ได้บ้านและรถยนต์สมปรารถนา แต่ว่า..เธอยังรู้สึกเหงา ถ้ามีใครสักคนที่เข้าใจมาอยู่ข้างๆ ชีวิตเธอต้องมีความสุขแน่
....ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจแต่งงาน เธอได้สามีที่ดี แต่เธอก็รู้สึกว่า ถ้าเธอมีลูก ชีวิตของเธอก็จะดีขึ้นและมีความสุขขึ้นเป็นแน่
และแล้วเธอก็ได้มีลูกสมปรารถนา แต่ลูกของเธอยังเล็กอยู่ เธอจึงเกิดความรู้สึกว่า เมื่อลูกของเธอโตขึ้น เธอคงจะมีความสุขและสบายขึ้นแน่
....แต่เมื่อลูกของเธอโตขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น เธอกลับรู้สึกว่าลูกไม่ได้ดั่งใจเธออีก เธอเฝ้าแต่คิดว่าเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ เธอคงจะมีความสุขมากขึ้น
ต่อมาเมื่อลูกผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไป เธอกลับรู้สึกว่าเธอกังวลว่าลูกยังดูแลและจัดการตัวเองได้ยังไม่ดีพอ ถ้าลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองได้ดี และเป็นฝั่งเป็นฝา ชีวิตเธอคงมีความสุขแน่
เวลาได้ผ่านพ้นไปลูกๆของเธอโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวตามที่เธอหวัง แต่ในวันนี้เธอกลับรู้สึกว่าเธอเป็นแค่เพียงคุณยายแก่ๆ คนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนใส่ใจ
ในแต่ละวันเธอเฝ้าแต่หวังว่าลูกๆ จะกลับเยี่ยมและเอาใจใส่เธอ มาถึงวันนี้เธอเริ่มรู้สึกแล้วละว่าทำไมตลอดชีวิตของเธอจึงไม่มีความสุข ทั้งที่เธอแสวงหามาชั่วชีวิต
วันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจไปที่วัดแห่งหนึ่ง และได้สนทนากับพระเซนรูปหนึ่งในประเด็น ความสุขของชีวิต และเธอก็ได้คำตอบสั้นๆว่า
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิตคนเรา อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบันไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับชีวิตปัจจุบันไม่ริ้นรน ไม่แสวงหา
ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า ลมหายใจของหญิงชรากำลังจะสิ้นไป เธอกำลังจะจากโลกนี้ไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสงบ
เรื่องที่ 26 กระบอกไม้ไผ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ วัดแห่งหนึ่งมีหลวงตาอยู่รูปหนึ่งและสามเณรอีกห้ารูป วันหนึ่งสามเณรเหล่านั้นได้ทำแจกันตกแตก แต่ไม่มีใครกล้ายอมรับผิด ต่างคนต่างก็กล่าวตู่อีกคนหนึ่งว่าเป็นคนผิด เป็นคนทำแจกันตกแตก
เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไปไกลจนถึงกุฏิหลวงตา หลวงตาจึงเรียกสามเณรทุกรูปเข้าไปพบ
......เมื่อสามเณรมาครบทุกรูปแล้ว หลวงตาจึงก้มลงไปหยิบกระบอกไม้ไผ่มาลำหนึ่ง ความยาวขนาดหนึ่งวา ยื่นให้สามเณรเหล่านั้น พร้อมกับพูดว่า " ให้พวกเจ้ายื่นมือลงไปแตะก้นกระบอกไม้ไผ่ ใครแตะได้หลวงตาจะไม่ทำโทษ "
สามเณรน้อยต่างองค์ต่างพยายามทำมือให้ยาวที่สุด เพื่อที่จะล้วงลงไปให้ถึงก้นกระบอกไม้ไผ่ แต่พยายามอย่างไรก็แตะไม่ถึงก้นกระบอกซักที
จากนั้น หลวงตาจึงถามเณรน้อยว่า " ทำไมจึงแตะก้นกระบอกไม้ไผ่ไม่ถึง"
......เณรน้อยองค์ที่หนึ่งรีบตอบทันทีว่า " กระบอกไม้ไผ่ยาวเกินไปครับ"
......องค์ที่สอง สาม สี่ ห้า ต่างก็ตอบเหมือนเพื่อนว่า " กระบอกไม้ไผ่ยาวเกินไปครับ"
จากนั้นหลวงพ่อจึงพูดขึ้นว่า "ไม่แปลกใจเลยทำไมไม่มีใครรับผิดเรื่องแจกันแตก "
เณรน้อยทุกรูปทำท่างงงวย แตะก้นกระบอกไม้ไผ่ไเกี่ยวอะไรกับแจกันแตก
ต่อมาหลวงพ่อจึงอธิบายว่า จริงๆแล้ว เหตุการณ์แตะก้นกระบอกไม้ไผ่ไม่ถึง มองได้ 2 แบบ คือ แบบที่ 1กระบอกไม้ไผ่ยาวเกินไป แบบที่ 2 แขนของเราสั้นเกินไป
........ แต่ไม่มีใครตอบแบบที่ 2 เลย
เป็นอย่างนี้แหละคนเรา เวลาเกิดเหตุการณ์ขัดแย้ง หรือมีความเห็นไม่ลงรอยกัน คนเรามักจะโทษคนอื่นหรือ สิ่งอื่นก่อนเสมอ ว่าคนอื่น สิ่งอื่นผิด ตนถูก หายากมากคนที่จะมองตนเองก่อนที่จะมองผู้อื่น ยิ่งกล้ารับผิดแล้วยิ่งยากมาก พูดเพียงเท่านี้หลวงตาก็เดินจากไป
เรื่องที่ 25 ปราสาทหลังสุดท้าย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีมหาอำมาตย์ผู้หนึ่งท่านได้เป็นสถาปนิกคู่ใจของพระราชามาช้านาน จนกระทั้งบัดนี้อายุของท่านได้มากขึ้น ท่านจึงได้คิดหวลถึงตนเองว่าควรที่จะหยุดงานและไปพักผ่อนให้มีความสุขใน ชีวิตเสียที ดังนั้น ท่านจึงได้ไปกราบทูลลาพระราชา แต่ผลปรากฎว่าพระราชายังไม่ยอม พระราชาประสงค์จะให้มหาอำมาตย์ได้สร้างปราสาทที่สวยที่สุดให้พระราชาอีก หนึ่งหลังเสียก่อน มหาอำมาตย์ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำใจรับคำพระราชา
ดังนั้นในการก่อสร้างปราสาทหลังนี้เขาได้ทำอย่างรีบเร่ง ไม่ปราณีต และไม่เก็บรายละเอียดให้ดี ตรงที่ไม่ดีเขาก็หาวิธีฉาบปิดกำบัง แต่ถึงอย่างไรเมื่อสร้างเสร็จทุกคนกก็ยังชื่นชมในฝีมือของเขาอยู่ดี
เมื่อสร้างปราสาทเสร็จ เขาดีใจมากเพราะบัดนี้ภาระที่หนักอึ้งได้จบลงแล้ว แต่หวังว่าพระราชาจะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเรานะ คิดในใจพลางมหาอำมาตย์ก็รีบไปหาพระราชาพลาง
มหาอำมาตย์ : บัดนี้ เกล้าฯ ได้สร้างปราสาทเสร็จแล้ว ดังนั้นจึงขอทูลลาไปพักในวัยชรานะพะยะค่ะ (พูดพลางจะลุกไปพลาง)
พระราชา : ช้าก่อนมหาอำมาตย์ อย่าเพิ่งไป ( มหาอำมาตย์เริ่มมีอาการฉุนเฉียวพลางคิดว่าพระราชาจะเล่นลิ้นอะไรอีกละนี่)
พระราชานิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะพูดขึ้นว่า " ปราสาทที่สวยที่สุดหลังนั้น เราได้ตั้งใจสร้างเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนท่าน ที่ได้เสียสละตนเองทำงานเพื่อแผ่นดินมาโดยตลอด ขอให้ท่านจงอยู่ในปราสาทแสนสวยหลังนั้นอย่างมีความสุข ในบั้นปลายชีวิตนะ"
มหาอำมาตย์ตกตะลึงในสิ่งที่ได้ฟัง ปลื้มปิติ รู้สึกทราบซึ้งใจจนน้ำตาไหล แต่ท่านก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า " เราจะอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไรเหนอ ในเมื่อปราสาทหลังนั้นเราไม่ได้ตั้งใจสร้างเลย และที่สำคัญทุกรอยตำหนิ ทุกที่ปิดบัง เราเห็นมันทุกที่”
เรื่องที่ 24 เหรียญสองด้าน
เสียงเอะอะโวยวายแว่วดังมาจากหน้าบริษัทงานแห่งหนึ่ง “ งานนั้นเหรอ โอ้ยากเกินไป ผมทำไม่ได้หรอก ความสามารถไม่ถึง ” ในขณะที่ผู้จัดการกำลังเจรจามอบหมายงานให้พนักงานใหม่เป็นครั้งที่สาม
ในช่วงเวลานั้นเอง เป็นช่วงเวลาที่หลวงพ่อวัดเซนเดินผ่านมาพอดี
หลวงพ่อ : มีอะไรกันเหรอ
ผู้จัดการ : พวกเรากำลังมอบหมายงานกันครับ แต่ไม่ว่าจะให้งานอะไร
พนักงานใหม่ก็ไม่รับ บอกแต่ว่า ยาก ยากมาก ทำไม่ได้ ความสามารถไม่ถึง
โยมละกลุ้มใจจริงๆ ขอรับ (พูดพลางทำหน้าเอื่อมละราพลาง)
หลวงพ่อหันหน้าไปหาพนักงานใหม่ (ซึ่งเขาไม่อยากจะสบตาหลวงพ่อเท่าไรนัก) จากนั้นหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
หลวงพ่อ : โยม.... เงินเหรียญ ที่เราใช้กันอยู่มีกี่ด้าน
พนักงานใหม่ : สองด้านขอรับ …. ด้านหัว กับ ก้อย ขอครับ
หลวงพ่อ : ถ้าเราโยนขึ้น ตกลงมา โอกาสจะขึ้นหัวหรือก้อย มีเท่ากันไหม
พนักงานใหม่ : เท่ากันขอรับ
หลวงนิ่งสักครู่ก่อนที่จะอธิบายว่า
“ ในการทำงานก็เหมือนกัน เมื่อไรก็ตามที่เรากล้าที่จะทำงาน ก็เหมือนเรากล้าที่จะโยนเหรียญ ซึ่งไม่ออกหัวก็ก้อยโอกาสสำเร็จมีถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หากเราไม่กล้าที่จะทำงาน ก็เปรียบเสมือนเราไม่กล้าที่จะโยนเหรียญโอกาสสำเร็จไม่มีเลย ฉะนั้นแล้วผู้ที่แสวงหาความสำเร็จควรกล้าที่จะทำ เพราะอย่างน้อยโอกาสสำเร็จก็มีถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ” ว่าเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
หลวงพ่อหันหน้าไปหาพนักงานใหม่ (ซึ่งเขาไม่อยากจะสบตาหลวงพ่อเท่าไรนัก) จากนั้นหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
หลวงพ่อ : โยม.... เงินเหรียญ ที่เราใช้กันอยู่มีกี่ด้าน
พนักงานใหม่ : สองด้านขอรับ …. ด้านหัว กับ ก้อย ขอครับ
หลวงพ่อ : ถ้าเราโยนขึ้น ตกลงมา โอกาสจะขึ้นหัวหรือก้อย มีเท่ากันไหม
พนักงานใหม่ : เท่ากันขอรับ
หลวงนิ่งสักครู่ก่อนที่จะอธิบายว่า
“ ในการทำงานก็เหมือนกัน เมื่อไรก็ตามที่เรากล้าที่จะทำงาน ก็เหมือนเรากล้าที่จะโยนเหรียญ ซึ่งไม่ออกหัวก็ก้อยโอกาสสำเร็จมีถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หากเราไม่กล้าที่จะทำงาน ก็เปรียบเสมือนเราไม่กล้าที่จะโยนเหรียญโอกาสสำเร็จไม่มีเลย ฉะนั้นแล้วผู้ที่แสวงหาความสำเร็จควรกล้าที่จะทำ เพราะอย่างน้อยโอกาสสำเร็จก็มีถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ” ว่าเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
เรื่องที่ 23 กระจก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งได้ถูกส่งให้มาปฎิบัติธรรมที่วัดเซน สาเหตุที่ถูกส่งมาเพราะพนักงานเหล่านี้เต็มไปด้วยทิฐิมานะ และความอหังกา ไม่เชื่อฟังใคร ใครจะบอกให้เปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีอย่างไรก็ไม่ใส่ใจ
หลังจากปฏิบัติธรรมไปแล้วสามวัน พอเช้าวันที่สี่หลวงพ่อก็เรียกให้ทุกคนเข้าไปพบ
หลวงพ่อ : เออ พวกเจ้าบนศาลามีกระจกใหญ่อยู่บานหนึ่ง ให้พวกเจ้าเวียนกันขึ้นไปส่องทีละคน เสร็จแล้วเดี๋ยวตอนเย็นหลวงพ่อจะคุยด้วย
พอถึงตอนเย็นหลวงพ่อก็เรียกทุกคนมาพบ จากนั้นหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
หลวงพ่อ : เอ้า แต่ละคนเล่าให้หลวงพ่อฟังซิ หลังจากไปส่องกระจกบานใหญ่แล้วทุกคนเห็นอะไร
พนักงานคนที่ 1 : ผมเห็นหน้าตาตัวเองครับ หลังจากที่ไม่เห็นมาหลายวัน
พนักงานคนที่ 2 : หนูส่องแล้วเห็นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลยใช้กระจกหลวงพ่อส่องแล้วหวีให้เรียบร้อยค่ะ
พนักงานคนที่ 3 : หนูส่องแล้วเห็นสิวเม็ดหนึ่ง จากนั้นจึ่งรักษาทายาให้สิวหาย ตอนนี้หายแล้วค่ะ
หลวงพ่อ : เออ กระจกมันมีประโยชน์นะ ทำให้เราได้เห็นตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร รู้ว่าผมยุ่งเราก็หวีผม รู้ว่าเป็นสิว เราก็รักษา พัฒนาบุคลิกภาพเราให้ดูดี กระจกนี่ดีจริงๆ
ขณะนั้นทุกคนนิ่งคิด ตั้งใจฟังหลวงพ่อด้วยใจจดจ่อ จากนั้นหลวงพ่อก็พูดอีกว่า
" ในการดำเนินชีวิตเราก็มีกระจกบานใหญ่ในสังคม ผู้คนเหล่านั้นล้วนเป็นกระจกส่องเรา หากเรามองดีดีเราจะเห็นตัวเอง เมื่อเห็นตัวเองแล้วเราก็จะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ฉนั้นอย่าลืมส่องละกระจกในสังคม " ว่าเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
พอถึงตอนเย็นหลวงพ่อก็เรียกทุกคนมาพบ จากนั้นหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
หลวงพ่อ : เอ้า แต่ละคนเล่าให้หลวงพ่อฟังซิ หลังจากไปส่องกระจกบานใหญ่แล้วทุกคนเห็นอะไร
พนักงานคนที่ 1 : ผมเห็นหน้าตาตัวเองครับ หลังจากที่ไม่เห็นมาหลายวัน
พนักงานคนที่ 2 : หนูส่องแล้วเห็นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลยใช้กระจกหลวงพ่อส่องแล้วหวีให้เรียบร้อยค่ะ
พนักงานคนที่ 3 : หนูส่องแล้วเห็นสิวเม็ดหนึ่ง จากนั้นจึ่งรักษาทายาให้สิวหาย ตอนนี้หายแล้วค่ะ
หลวงพ่อ : เออ กระจกมันมีประโยชน์นะ ทำให้เราได้เห็นตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร รู้ว่าผมยุ่งเราก็หวีผม รู้ว่าเป็นสิว เราก็รักษา พัฒนาบุคลิกภาพเราให้ดูดี กระจกนี่ดีจริงๆ
ขณะนั้นทุกคนนิ่งคิด ตั้งใจฟังหลวงพ่อด้วยใจจดจ่อ จากนั้นหลวงพ่อก็พูดอีกว่า
" ในการดำเนินชีวิตเราก็มีกระจกบานใหญ่ในสังคม ผู้คนเหล่านั้นล้วนเป็นกระจกส่องเรา หากเรามองดีดีเราจะเห็นตัวเอง เมื่อเห็นตัวเองแล้วเราก็จะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ฉนั้นอย่าลืมส่องละกระจกในสังคม " ว่าเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
เรื่องที่ 22 กะลาสี
กาลครังหนึ่งนานมาแล้ว มีเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง เที่ยวท่องไปในมหาสมุทรเพื่อไปให้ถึงดินแดนอัน อุดมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่บนฝั่งมหาสมุทรอันไกลโพ้น
เรือลำนั้นได้บรรทุกกับตันเรือ ลูกเรือ และผู้โดยสารอีกหลายคน ทุกคนเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เต้นรำ
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกครื้นเครงอยู่บนเรือนั้นเอง ก็มีเหตุการณ์อันน่าสพรึงกลัวเกิดขึ้น
พายุ ใหญ่ได้พัดโหมกระหนำ่เข้าสู่เรืออย่างหนัก เสียงแห่งความสุขได้หลุดลอยหายไป เปลี่ยนเป็นเสียงแห่งความทุกข์ขึ้นแทน เสียงแผดร้อง โหนหวนดังอึงคนึงจ้าระหวั่นไปทั่ว ทุกคนต่างวิ่งหนีภัย หลีกหนีความตาย
พายุใหญ่ตีเรือแตกเป็นเสี่ยงๆ กำตันเรือ ลูกเรือ และผู้โดยสารทุกคนต้องจมหายไปในทะเล เหลือเพียงกลาสีหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้นที่ไหวตัวทัน เขาได้นำเรือลำเล็กออกจากเรือลำใหญ่ก่อนหน้าที่เรือจะแตก ด้วยความรอบคอบเขาได้นำน้ำและเสบียงอาหารติดตัวไปด้วย
กะลาสีหนุ่มพายเรือมุ่งหน้าไปเรือยๆ แต่อย่างไรเสียก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง เขาพายเรืออยู่อย่างนั้นได้หลายสิบวัน เป็นระยะทางแสนไกล ในที่่สุดเสบียงอาหารก็หมดลง
แต่...กะลาสีหนุ่มก็ยังคงพายเรือต่อไปในทิศทางเดิม ในที่สุดน้ำดื่มก็ร่อยหรอลง แต่กะลาสีหนุ่มก็พายเรือต่อไปในทิศทางเดิมอย่างมันคง
พายมาไกลแสนไกลก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะถึงฝั่ง กะลาสีหนุ่มเริ่มไม่มั่นใจในทิศทางที่ไป เขาเริ่มเคลือบแคลง " เอ๊ะหรือเราพายมาผิดทาง จึงไม่ถึงฝั่งสักที ชลอยเราจะมาผิดทางแล้ว" ว่าแล้วกะลาสีหนุ่มก็ปรับหัวเรือใหม่หมุนไปอีกทางหนึ่ง และพายเรือต่อไป
.....อนิจจา กะลาสีหน่มหารู้ไหมว่าการที่เขาเคลือบแคลงในเส้นทางที่เดิน แล้วเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่นั้น มันทำให้ระยะทางกว่าจะถึงฝังไกลแสนไกลกว่าเดิม ทั้งๆที่จริงๆแล้วอีกไม่นานในเส้นทางนี้เขาก็จะถึงฝั่งอยู่แล้วเชียว.
เรื่องที่ 21 ผ้าขาว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหม่บ้านแห่งหนึ่ง
เช้าตรู่วันหนึ่งภรรยาตื่นแต่เช้ามายืนมองทะลุกระจก เพื่อเฝ้าดูเพื่อนบ้านที่กำลังตากผ้าอยู่ด้านนอก เธอยืนมองนานสักครู่ จึงพูดขึ้นว่า "เพื่อนบ้านเราซักผ้าไม่สะอาดเลย”
เช้าตรู่วันใหม่ภรรยาก็ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคย
และก็มายืนมองทะลุกระจกดูเพื่อนบ้านซึ่งกำลังตากผ้าเหมือนเมื่อวาน
เธอเฝ้าดูสักครู่จึงพูดขึ้นอีกว่า
"เพื่อนบ้านเราซักผ้าไม่สะอาดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แย่จัง”
จากเหตุการณ์ทั้งสองวันนี้ สามีของเธอก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ไม่พูดอะไร
พอถึงเช้าวันที่สามภรรยา ก็ตื่นแต่เช้า หวังจะดูว่าวันนีเพื่อนบ้านจะซักผ้าเป็นอย่างไร เมื่อมาถึง เธอก็มองทะลุกระจกออกไป เธอตกตลึงแทบไม่เชื่อตาตัวเอง เพราะวันนี้เธอเห็นเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราวขาวสะอาดมาก ๆ เธอตื่นเต้นมากจึงรีบวิ่งไปบอกสามีของเธอว่า "วันนี้เพื่อนบ้านเราซักเสื้อผ้าได้สะอาดมากๆ น่าแปลกจังเลย”
สามีของเธอพอได้ยิน ดังนั้นก็มองหน้าเธอด้วยแววตาที่เอื้ออาทรพร้อมกับพูดดว่า "คุณ เมื่อเช้าผมขัดกระจกบ้านเราเองหรอก มันจึงทำให้คุณเห็นเสื้อผ้าของเพื่อนบ้านดูสะอาดมากขึ้น แต่จริงๆแล้ว ผมคิดว่าทั้งวันแรกและวันที่สองเพื่อนบ้านของเรา เขาก็ซักเสื้อผ้าได้สะอาดเหมือนวันนี้แหละ กระจกบ้านเราต่างหากที่มันไม่สอาด "
ในขณะที่ภรรยากำลังยืนนิ่่ง เหมือนกำลังคิดอะไรได้ สามีจึงพูดขึ้นอีกว่า
ใดๆ ในโลกนี้ ทั้ง ดี เลว ขาวดำ สะอาด สกปรก จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับที่เรามอง ทุกอย่างมันมีแต่ความเป็นธรรมดาของมัน ไม่มีดี เลว ขาวดำ สะอาด สกปรก และบางทีการที่เราเห็นสิ่งใดๆไม่สะอาด สกปรก แท้จริงอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจจะเป็นเราเองก็ได้ที่ไม่สะอาด สกปรกเสียเอง ดังนั้นจึงควรระวังเมื่อเราจะมองอะไรสักอย่าง
จากเหตุการณ์ทั้งสองวันนี้ สามีของเธอก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ไม่พูดอะไร
พอถึงเช้าวันที่สามภรรยา ก็ตื่นแต่เช้า หวังจะดูว่าวันนีเพื่อนบ้านจะซักผ้าเป็นอย่างไร เมื่อมาถึง เธอก็มองทะลุกระจกออกไป เธอตกตลึงแทบไม่เชื่อตาตัวเอง เพราะวันนี้เธอเห็นเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราวขาวสะอาดมาก ๆ เธอตื่นเต้นมากจึงรีบวิ่งไปบอกสามีของเธอว่า "วันนี้เพื่อนบ้านเราซักเสื้อผ้าได้สะอาดมากๆ น่าแปลกจังเลย”
สามีของเธอพอได้ยิน ดังนั้นก็มองหน้าเธอด้วยแววตาที่เอื้ออาทรพร้อมกับพูดดว่า "คุณ เมื่อเช้าผมขัดกระจกบ้านเราเองหรอก มันจึงทำให้คุณเห็นเสื้อผ้าของเพื่อนบ้านดูสะอาดมากขึ้น แต่จริงๆแล้ว ผมคิดว่าทั้งวันแรกและวันที่สองเพื่อนบ้านของเรา เขาก็ซักเสื้อผ้าได้สะอาดเหมือนวันนี้แหละ กระจกบ้านเราต่างหากที่มันไม่สอาด "
ในขณะที่ภรรยากำลังยืนนิ่่ง เหมือนกำลังคิดอะไรได้ สามีจึงพูดขึ้นอีกว่า
ใดๆ ในโลกนี้ ทั้ง ดี เลว ขาวดำ สะอาด สกปรก จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับที่เรามอง ทุกอย่างมันมีแต่ความเป็นธรรมดาของมัน ไม่มีดี เลว ขาวดำ สะอาด สกปรก และบางทีการที่เราเห็นสิ่งใดๆไม่สะอาด สกปรก แท้จริงอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจจะเป็นเราเองก็ได้ที่ไม่สะอาด สกปรกเสียเอง ดังนั้นจึงควรระวังเมื่อเราจะมองอะไรสักอย่าง
เรื่องที่ 20 เชือก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หลวงพ่อวัดเซนพาชาวบ้านทั้งหลายพากันไปดูควายเผือกตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินหญ้าอันเขียวชอุ่มอย่างเอร็ดอร่อย ชมดูอย่างเพลินใจนานสักครู่หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
หลวงพ่อ : จากเหตุการณ์นี้พวกเจ้าเห็นอะไร
ชาวบ้านคนที่หนึ่ง : เห็นความงดงามของควายเผือกครับ ผิวสีขาวนวล เขายาว ทรวดทรงดี สง่างามจริงๆครับ
ชาว บ้านคนที่สอง : เห็นชีวิตที่เรียบง่ายของชีวิตควายครับ เหมือนความสุขของมันหาง่ายนิดเดียว ชีวิตมันดูไม่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนชีวิตมนุษย์เรา
ขณะที่ ทุกคนกำลังชื่นชมอย่างเพลินใจนั้นเอง ชาวบ้านคนที่สามก็พูดขึ้นว่า " แต่เสียอย่างเดียว ชีวิตเจ้าควายต้องผูกติดอยู่กับเชือกเส้นเดียวที่เจ้าของล่ามไว้ หากไม่มีเชือกเส้นนั้น ชีวิตมันคงเป็นอิสระ และมีความสุขอย่างถึงที่สุดนะ"
ชาวบ้านหลายคนพยัคหน้าเห็นด้วย ทอดสายตาอย่างอ่อนโยน เปล่งประกายแห่งความอินในอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
ใขขณะ ที่ทุกคนกำลังเงียบกริบเหมือนกำลังคิดอะไรได้ หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า " ชีวิตคนก็เหมือนกันนะ ความอิสระของเราลดลงเพราะถูกผูกติดอยู่กับเชือกที่เราสร้างขึ้น เชือกบางเส้นเห็นได้ยาก เพราะมันละเอียดอ่อน หรือบางทีเราจะรู้ว่ามันเป็นเชือก ก็ต่อเมื่อมันสร้างทุกข์ให้กับเรานั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตามหากทุกคนดำรงชีวิตด้วยความมีสติและไม่ประมาท เชือกก็จะมัดเราน้อยลง
เรื่องที่ 19 น้ำเต็มแก้ว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หลวงพ่อวัดเซนได้เรียกเหล่าเด็กวัดมาหา จากนั้นก็หยิบแก้วใส่น้ำ 3 ใบมาวาง โดยแก้วใบที่ 1 เป็นแก้วเปล่าไม่ใส่น้ำ แก้วใบที่ 2 เป็นแก้วที่เติมน้ำครึ่งแก้ว และแก้วใบที่ 3 เป็นแก้วที่เติมน้ำเต็มแก้ว จากนั้นหลวงพ่อก็ถามขึ้นว่า "พวกเจ้าเห็นแก้วทั้งสามใบแล้ว มีความคิดเห็นเป็นอย่างไร”
เด็กวัดกลุ่มที่1 ตอบว่า : คนเราควรทำตนให้เป็นดังแก้วใบแรก เพราะเมื่อเราไปเรียนรู้กับคนอื่นเราจะได้ความรู้อย่างมากมาย
เด็ก วัดกลุ่มที่สอง ตอบว่า :
แต่พวกเราเห็นว่าคนเราควรทำตนให้เป็นดังแก้วใบที่สองนะ
คือควรมีน้ำคือความรู้อยู่บ้าง
เมื่อไปเรียนรู้กับผู้อื่นเราจะเรียนรู้ได้เร็วและเต็มได้ไว
หลวงพ่อ : ไม่มีใครอยากเป็นแก้วใบที่สามเหรอ
เด็กวัด : ไม่ครับ เพราะคนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ใครใส่อะไร ก็จะไม่รับอีก
หลวงพ่อ : เหรอ (พูดพลางอมยิ้มพลาง) เอ้าต่อไปพวกเจ้าสังเกตต่อนะว่าจะเห็นอะไร
หลัง จากนั้นหลวงพ่อก็ค่อยๆรินน้ำใส่แก้วใบที่สามช้าๆ ปรากฎว่าน้ำเก่าที่อยู่ในแก้วถูกน้ำใหม่ที่เทลงไปดันให้ไหลออกมานอกแก้ว น้ำที่อยู่ในแก้วยังคงเต็มเหมือนเดิม แต่ต่างจากเดิมตรงที่ว่าน้ำที่อยู่ในแก้วเป็นน้ำใหม่ที่เทลงไป เด็กวัดทุกคนต่างพากันจ้องมองด้วยความสนใจ
สุดท้ายหลวงพ่อ ได้พูดขึ้นว่า จริงๆแล้ว แก้วทั้งสามใบต่างก็มีค่าในตัวเองทุกใบ แม้แต่แก้วใบที่สาม ที่ทุกคนเห็นว่าเป็นน้ำเต็มแก้ว ก็ใช่ว่าจะรับอะไรเพิ่มไม่ได้ พูดเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
หลวงพ่อ : ไม่มีใครอยากเป็นแก้วใบที่สามเหรอ
เด็กวัด : ไม่ครับ เพราะคนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ใครใส่อะไร ก็จะไม่รับอีก
หลวงพ่อ : เหรอ (พูดพลางอมยิ้มพลาง) เอ้าต่อไปพวกเจ้าสังเกตต่อนะว่าจะเห็นอะไร
หลัง จากนั้นหลวงพ่อก็ค่อยๆรินน้ำใส่แก้วใบที่สามช้าๆ ปรากฎว่าน้ำเก่าที่อยู่ในแก้วถูกน้ำใหม่ที่เทลงไปดันให้ไหลออกมานอกแก้ว น้ำที่อยู่ในแก้วยังคงเต็มเหมือนเดิม แต่ต่างจากเดิมตรงที่ว่าน้ำที่อยู่ในแก้วเป็นน้ำใหม่ที่เทลงไป เด็กวัดทุกคนต่างพากันจ้องมองด้วยความสนใจ
สุดท้ายหลวงพ่อ ได้พูดขึ้นว่า จริงๆแล้ว แก้วทั้งสามใบต่างก็มีค่าในตัวเองทุกใบ แม้แต่แก้วใบที่สาม ที่ทุกคนเห็นว่าเป็นน้ำเต็มแก้ว ก็ใช่ว่าจะรับอะไรเพิ่มไม่ได้ พูดเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็เดินจากไป
เรื่องที่ 18 งูเห่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีงูเห่าไฟตัวหนึ่งได้เลื่้อยผ่านเข้าไปในวัดเซน เหตุการณืนี้ทำเอาชาวบ้านแตกตื่นกันทั้งวัด ต่างพากันวิ่งหนีกันอลม่าน เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ จนหลวงพ่อวัดเซนต้องเดินมาดู
หลวง พ่อ : มีอะไรกันเหรอโยม
ชาวบ้าน : งูเห่า!!!! งูเห่าครับหลวงพ่อ โอ้โฮตัวใหญ่เบ้อเร่อ ตาแดงก่ำ ถ้าโดนฉกนี่คงตายคาที่แน่เลยครับ นี่เดี๋ยวพวกผมคิดว่าจะไปฆ่ามันครับ
หลวงพ่อ : อย่าเลย อย่าไปฆ่าอย่าไปรังแกมันเลย สัตว์เดรัตฉานมันไม่รู้เรื่องหรอก มันหากินไปตามประสาของมัน มันมาเองเดี๋ยวมันก็ไปเอง
หลาย คนพอได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย บางคนบอกว่าถ้างูยังอยู่ กลัวมันฉก กลัวมันกัด และ อื่นๆอีกหลายเหตุผลความกลัว ในขณะที่ชาวบ้านคุยกันเรื่องกลัวงู หลวงพ่อก็ยืนนิ่งฟัง แต่ท่านดูนิ่งสงบเป็นพิเศษ ไม่พูดจาอะไรเลย จนมีชาวบ้านอดถามไม่ได้ว่า
ชาว บ้าน : หลวงพ่อยืนนิ่งดอะไรเหรอครับ
พลวงพ่อ : เฮ้อ มนุษย์เราต่างพากันกลัวแต่งูเห่าภายนอก แต่ไม่พากันกลัวงูเห่าภายในกันเลย
ชาว บ้าน : หือ งูเห่าภายในมีด้วยเหรอครับ ยังไงครับ
หลวง พ่อค่อยๆอธิบายให้ฟังว่า " ก็อารมณ์ของเราไง มันชอบเลื้อยไปเรื่อยๆ มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งเฉยๆ สุขแสดงออกมาในความเพลิดเพลินใจ ทุกข์แสดงออกมาในอารมณ์เศร้าเสียใจ เราทั้งหลายก็มักที่ไปจับไปต้องอารมณ์เหล่านี้ จับแล้วคิดแล้วก็สร้างความทุกข์ให้ตนเอง ทุกข์เท่าไรๆก็ไม่เข็ด ดังนั้นทางที่ดีให้พากันวางเสีย อารมณ์เราเปรียบเสมือนงูเห่า จับเมือไรมันจะฉกทันที จะสร้างทุกข์ให้แก่ตนทันที "
ชาวบ้าน : งูเห่า!!!! งูเห่าครับหลวงพ่อ โอ้โฮตัวใหญ่เบ้อเร่อ ตาแดงก่ำ ถ้าโดนฉกนี่คงตายคาที่แน่เลยครับ นี่เดี๋ยวพวกผมคิดว่าจะไปฆ่ามันครับ
หลวงพ่อ : อย่าเลย อย่าไปฆ่าอย่าไปรังแกมันเลย สัตว์เดรัตฉานมันไม่รู้เรื่องหรอก มันหากินไปตามประสาของมัน มันมาเองเดี๋ยวมันก็ไปเอง
หลาย คนพอได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย บางคนบอกว่าถ้างูยังอยู่ กลัวมันฉก กลัวมันกัด และ อื่นๆอีกหลายเหตุผลความกลัว ในขณะที่ชาวบ้านคุยกันเรื่องกลัวงู หลวงพ่อก็ยืนนิ่งฟัง แต่ท่านดูนิ่งสงบเป็นพิเศษ ไม่พูดจาอะไรเลย จนมีชาวบ้านอดถามไม่ได้ว่า
ชาว บ้าน : หลวงพ่อยืนนิ่งดอะไรเหรอครับ
พลวงพ่อ : เฮ้อ มนุษย์เราต่างพากันกลัวแต่งูเห่าภายนอก แต่ไม่พากันกลัวงูเห่าภายในกันเลย
ชาว บ้าน : หือ งูเห่าภายในมีด้วยเหรอครับ ยังไงครับ
หลวง พ่อค่อยๆอธิบายให้ฟังว่า " ก็อารมณ์ของเราไง มันชอบเลื้อยไปเรื่อยๆ มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งเฉยๆ สุขแสดงออกมาในความเพลิดเพลินใจ ทุกข์แสดงออกมาในอารมณ์เศร้าเสียใจ เราทั้งหลายก็มักที่ไปจับไปต้องอารมณ์เหล่านี้ จับแล้วคิดแล้วก็สร้างความทุกข์ให้ตนเอง ทุกข์เท่าไรๆก็ไม่เข็ด ดังนั้นทางที่ดีให้พากันวางเสีย อารมณ์เราเปรียบเสมือนงูเห่า จับเมือไรมันจะฉกทันที จะสร้างทุกข์ให้แก่ตนทันที "
เรื่องที่ 17 สิ่งที่ดีที่สุด
บ่ายแก่ๆวันหนึ่งเจ้าชายกำลังควบม้าฝีเท่าดีมาที่วัดเซนแห่งหนึ่ง เพื่อหวังจะมาพบหลวงพ่อวัดเซน เพื่อที่จะศึกษากระแสจิตแห่งความเมตตาของท่าน แต่...ในขณะนี้เจ้าชายหารู้ไม่ว่า ศรัตรูของเจ้าชายได้สะกดรอยตามมาเพื่อหวังจะฆ่าเจ้าชายให้ตาย
เหตุการณ์นี้พระเซนก็รู้เรื่องด้วยโดยตลอด ดังนั้นเมื่อเจ้าชายมาถึงวัด พระเซนไม่สนทนาอะไรกับเจ้าชายมาก ได้แต่สั่งให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ไปเก็บกวาดถ้ำที่เต็มไปด้วยมูลค้างคาว และให้ทำงานหนักอย่างนี้จนถึงเจ็ดวันโดยไม่พูดอะไรด้วยเลย
พอวันที่เจ็ดเจ้าชายทนไม่ไหว รู้สึกเบื่อ
และโกรธจัดมากที่พระเซนให้ตนทำงานไร้สาระ
เขาจึงรีบวิ่งออกมาหาพระเซนและพูดอย่างไม่สุภาพว่า
เจ้าชาย : พอทีเถอะหลวงพ่อ!!!! นี่หรือคือความเมตตาของท่าน ให้เราทำแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้ เราผิดหวังในตัวท่านมาก ไม่เอาแล้วเราจะกลับวัง แต่ก่อนกลับเราขอถามหน่อยว่าทำไม่ท่านจึงทำอย่างนี้กับเรา
พระเซนนิ่งคิดสักครู่ มองหน้าเขาด้วยดวงตาที่ชุ่มเย็นก่อนจะพูดว่า " ช่วงเวลาเจ็ดวันที่เจ้าชายอยู่ที่วัด ได้มีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งออกมาตามฆ่าเจ้าชาย อาตมามีความจำเป็นต้องให้ท่านไปหลบซ่อนตัวยู่ในถ้ำก่อน และขออภัยด้วยที่ไม่บอกความจริงให้รู้ เพราะถ้าเจ้าชายรู้พระองค์จะออกมาสู้รบกับนักฆ่าซึ่งมีจำนวนมาก เจ้าชายอาจถึงแก่ชีวิตได้ และต้องขออภัยที่ให้ทำงานหนักเพราะงานจะเป็นสิ่งที่ผูกให้ท่านอยู่ในถ้ำได้ ครบเจ็ดวัน แต่ขณะนี้พวกนักฆ่ากลับไปแล้วเจ้าชายเสด็จกลับวังได้ ปลอดภัยแล้ว
เมื่อเจ้าชายได้ฟัง เขาถึงกลับทรุดตัวลงหมอบกราบพระเซน ความอหังกาเมื่อครู่หายไปหมด เหลือแต่ความปลื้มปีติในความเมตตา จนพูดไม่ออก น้ำตาไหลพราก พร้อมกับบรรจงก้มกราบขอขมาหลวงพ่ออย่างเนิ่นช้า
ก่อนเจ้าชายจะกลับพระเซนได้พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบว่า " บางครั้งแม้เราจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กัน ก็ใช่ว่าผู้รับจะรู้สึกชอบใจเสมอไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีที่สุด ผลย่อมออกมาดีที่สุด ดังนั้น มนุษย์เราควรมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้อื่นเสมอ "
เจ้าชาย : พอทีเถอะหลวงพ่อ!!!! นี่หรือคือความเมตตาของท่าน ให้เราทำแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้ เราผิดหวังในตัวท่านมาก ไม่เอาแล้วเราจะกลับวัง แต่ก่อนกลับเราขอถามหน่อยว่าทำไม่ท่านจึงทำอย่างนี้กับเรา
พระเซนนิ่งคิดสักครู่ มองหน้าเขาด้วยดวงตาที่ชุ่มเย็นก่อนจะพูดว่า " ช่วงเวลาเจ็ดวันที่เจ้าชายอยู่ที่วัด ได้มีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งออกมาตามฆ่าเจ้าชาย อาตมามีความจำเป็นต้องให้ท่านไปหลบซ่อนตัวยู่ในถ้ำก่อน และขออภัยด้วยที่ไม่บอกความจริงให้รู้ เพราะถ้าเจ้าชายรู้พระองค์จะออกมาสู้รบกับนักฆ่าซึ่งมีจำนวนมาก เจ้าชายอาจถึงแก่ชีวิตได้ และต้องขออภัยที่ให้ทำงานหนักเพราะงานจะเป็นสิ่งที่ผูกให้ท่านอยู่ในถ้ำได้ ครบเจ็ดวัน แต่ขณะนี้พวกนักฆ่ากลับไปแล้วเจ้าชายเสด็จกลับวังได้ ปลอดภัยแล้ว
เมื่อเจ้าชายได้ฟัง เขาถึงกลับทรุดตัวลงหมอบกราบพระเซน ความอหังกาเมื่อครู่หายไปหมด เหลือแต่ความปลื้มปีติในความเมตตา จนพูดไม่ออก น้ำตาไหลพราก พร้อมกับบรรจงก้มกราบขอขมาหลวงพ่ออย่างเนิ่นช้า
ก่อนเจ้าชายจะกลับพระเซนได้พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบว่า " บางครั้งแม้เราจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กัน ก็ใช่ว่าผู้รับจะรู้สึกชอบใจเสมอไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีที่สุด ผลย่อมออกมาดีที่สุด ดังนั้น มนุษย์เราควรมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้อื่นเสมอ "
เรื่องที่ 16 อาหารรสเลิศ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง มีนิสัยตระหนี่ ขี้เหนียวมาก ที่สำคัญชอบเพ่งโทษคนอื่น ตั้งแต่เกิดจนแก่เศรษฐีไม่เคยชื่นชมใครเลย ความนีได้ล่วงรู้ถึงพระเซน ด้วยกระจิตที่เปลี่ยมไปด้วยเมตตา ดังนั้นรุุ่งเช้าท่านจึงไปบิณฑบาตรโปรดมหาเศรษฐีถึงบ้าน เพื่อให้เศรษฐีคลาย ทิฐิมานะลง
พระเซนบิณฑบาตรติดๆกันอย่างนี้ถึงสามวันก็ไม่ได้อะไรเลย มหาเศรษฐีไม่ใส่บาตรเลย จนกระทั่งถึงวันที่สี่ขณะที่พระเซนกำลังบิณฑบาตรอยู่นั้น มหาเศรษฐีก็พูดขึ้นว่า
มหาเศรษฐี : พระจอมขี้เกียจ ไม่ยอมทำมาหากิน มาทำอะไรที่นี่ ท่านไม่มีทางได้อะไรจากเราหรอก
พระ เซนยืนนิ่งสักครู่แล้วพูดขึ้นว่า " ได้ซิ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้คำพูดจากท่าน"
มหาเศรษฐีช้ำใจที่ด่าแล้วพระไม่ โกรธ จึงเพิ่มคำด่าให้แรงขึ้นว่า " คำพูดที่เป็นคำด่า ท่านชอบเหรอ ได้เราจะด่าให้อีก เจ้าพระหัวโล้น เจ้าพระขี้ขอ เจ้าพระฯลฯ จิปาถะคำด่า "
มหา เศรษฐี : ไงละ ไม่พูดอะไรเลย ท่านยอมแพ้ข้าแล้วใช่ไหมละ
พระเซนนิ่ง คิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า " ช้าก่อนมหาเศรษฐี ก่อนที่เราจะตอบท่านเราขอถามท่านสักนิดได้ไหม เราได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้มีปัญญามาก คงแก้ปัญหานี้ได้ "
มหา เศรษฐีได้ฟังแล้วปานว่าตัวจะลอย " ได้ซิ ถามมาเลย "
พระเซน : หากท่านทำอาหารอันเลิศรส แล้วเชื้อเชิญญาติมาบริโภคอาหาร หากญาติเหล่านั้นไม่บริโภคอาหารเลย ท่านจะทำอย่างไร
มหา เศรษฐี : ถามโง่ๆ ข้าก็บริโภคเองนะซิ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
พระเซนนิ่งเงียบ สักครู่ก่อนจะพูดขึ้นว่า " เช่นกัน คำด่าของท่าน เราไม่ถือเอา ท่านก็จะเป็นผู้บริโภคเอง "
มหาเศรษฐีอึ้งและจุก จนแน่นหน้าอกเลยทีเดียว พูดอะไรไม่ออก เพราะโดนเต็มๆ ได้แต่ยืนนิ่งฟัง หลังจากนั้นพระเซนพูดต่อไปว่า " ผู้ที่ชอบเพ่งโทษคนอื่น เป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่เขาเพ่งโทษคนอื่น จิตใจของเขาเล่าร้อน เผารนตนเอง แต่คนที่ถูกเขาเพ่งโทษกลับไม่รู้สึกอะไรเลย "
ด้วยบทธรรมอันนี้เองมหา เศรษฐีก็ได้คลายมานะทิฐิลง
พระ เซนยืนนิ่งสักครู่แล้วพูดขึ้นว่า " ได้ซิ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้คำพูดจากท่าน"
มหาเศรษฐีช้ำใจที่ด่าแล้วพระไม่ โกรธ จึงเพิ่มคำด่าให้แรงขึ้นว่า " คำพูดที่เป็นคำด่า ท่านชอบเหรอ ได้เราจะด่าให้อีก เจ้าพระหัวโล้น เจ้าพระขี้ขอ เจ้าพระฯลฯ จิปาถะคำด่า "
มหา เศรษฐี : ไงละ ไม่พูดอะไรเลย ท่านยอมแพ้ข้าแล้วใช่ไหมละ
พระเซนนิ่ง คิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า " ช้าก่อนมหาเศรษฐี ก่อนที่เราจะตอบท่านเราขอถามท่านสักนิดได้ไหม เราได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้มีปัญญามาก คงแก้ปัญหานี้ได้ "
มหา เศรษฐีได้ฟังแล้วปานว่าตัวจะลอย " ได้ซิ ถามมาเลย "
พระเซน : หากท่านทำอาหารอันเลิศรส แล้วเชื้อเชิญญาติมาบริโภคอาหาร หากญาติเหล่านั้นไม่บริโภคอาหารเลย ท่านจะทำอย่างไร
มหา เศรษฐี : ถามโง่ๆ ข้าก็บริโภคเองนะซิ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
พระเซนนิ่งเงียบ สักครู่ก่อนจะพูดขึ้นว่า " เช่นกัน คำด่าของท่าน เราไม่ถือเอา ท่านก็จะเป็นผู้บริโภคเอง "
มหาเศรษฐีอึ้งและจุก จนแน่นหน้าอกเลยทีเดียว พูดอะไรไม่ออก เพราะโดนเต็มๆ ได้แต่ยืนนิ่งฟัง หลังจากนั้นพระเซนพูดต่อไปว่า " ผู้ที่ชอบเพ่งโทษคนอื่น เป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่เขาเพ่งโทษคนอื่น จิตใจของเขาเล่าร้อน เผารนตนเอง แต่คนที่ถูกเขาเพ่งโทษกลับไม่รู้สึกอะไรเลย "
ด้วยบทธรรมอันนี้เองมหา เศรษฐีก็ได้คลายมานะทิฐิลง
เรื่องที่ 15 ทางแยกอันตราย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่งได้พาพนักงานมาปฏิบัติธรรมที่วัดเซน สาเหตเป็นเพราะพนักงานเหล่านี้ชอบทำงานผิดพลาดอยู่เสมอ พอทุกคนมาถึงหลวงพ่อก็ถามสารทุกข์สุขดิบตามมารยาท แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดเซนแล้ว ท่านคงจะไม่ใช่แค่ถามเฉยๆ แต่จะแทรกการสอนเราด้วยทุกขณะ
หลวงพ่อ : มากัน ยังไงละนี่
พนักงาน : นั่งรถยนต์มากันครับ ขับมาเรื่อยๆ
หลวงพ่อ : เหรอ แล้วออกมาตั้งแต่กี่โมง
พนักงาน : โอ้ ตั้งแต่ตีห้าโน้นครับ
หลวงพ่อ : แล้วมาถึงวัดเมื่อไหร่ละ
พนักงาน : บ่ายสองโมงครับ
หลวงพ่อ : อ้าวทำไมช้าจังเลยละ ไปทำอะไรกันอยู่
พนักงาน : โอ้ย!!! หลงทางครับ ตรงทางแยกห้าเลนส์ รีบเกินไป
ทำให้มองไม่เห็นป้ายส่งทาง ก็เลยเข้าโค้งผิดทางครับ
ขับผิดทางตั้งนานกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็กินเวลาเป็นชั่วโมงแล้วละครับ
หลวงพ่อ : แล้วทำยังไงละทีนี้
พนักงาน : ก็เริ่มตั้งต้นทางใหม่ ตรงที่ผิดนั่นแหละครับ ที่นี้ช่วยกันดูตลอดทางเลย เพื่อไม่ให้พลาดเหมือนครั้งแรก
หลวงพ่อ : เออ การขับรถช่างเหมือนกับการใช้ชีวิตของคนเราจังเลยนะ
พนักงาน : เอ๊ะ !!!! เหมือนยังไงเหรอครับหลวงพ่อ งงจัง
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะค่อยๆพูดว่า " ในชีวิตการทำงานของเราก็เหมือนกัน หากเราเดินผิดทางแล้ว เป้าหมายของเราจะไกลออกไป ไกลออกไปทุกที ห่างความสำเร็จออกไปทุกที "
พนักงานทุกคน นิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง แล้วหลวงพ่อก็พูดต่อไปว่า
" ในชีวิตคนเรา อะไรที่เราทำลงไปแล้ว เราจะไม่สามารถเอาคืนได้ ดังนั้นก่อนทำอะไรต้องใคร่ครวญให้ดี วางแผนให้ดีก่อนค่อยทำ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากเรารู้ตัวว่าทำผิด ก็ควรที่จะรีบแก้ไขตัวเองเสียใหม่ เหมือนที่เรารีบกลับรถเมื่อรู้ตัวว่าผิดทางนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องสายเกินแก้ และที่สำคัญเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำของเราเองทีหลัง "
หลวงพ่อ : แล้วทำยังไงละทีนี้
พนักงาน : ก็เริ่มตั้งต้นทางใหม่ ตรงที่ผิดนั่นแหละครับ ที่นี้ช่วยกันดูตลอดทางเลย เพื่อไม่ให้พลาดเหมือนครั้งแรก
หลวงพ่อ : เออ การขับรถช่างเหมือนกับการใช้ชีวิตของคนเราจังเลยนะ
พนักงาน : เอ๊ะ !!!! เหมือนยังไงเหรอครับหลวงพ่อ งงจัง
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะค่อยๆพูดว่า " ในชีวิตการทำงานของเราก็เหมือนกัน หากเราเดินผิดทางแล้ว เป้าหมายของเราจะไกลออกไป ไกลออกไปทุกที ห่างความสำเร็จออกไปทุกที "
พนักงานทุกคน นิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง แล้วหลวงพ่อก็พูดต่อไปว่า
" ในชีวิตคนเรา อะไรที่เราทำลงไปแล้ว เราจะไม่สามารถเอาคืนได้ ดังนั้นก่อนทำอะไรต้องใคร่ครวญให้ดี วางแผนให้ดีก่อนค่อยทำ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากเรารู้ตัวว่าทำผิด ก็ควรที่จะรีบแก้ไขตัวเองเสียใหม่ เหมือนที่เรารีบกลับรถเมื่อรู้ตัวว่าผิดทางนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องสายเกินแก้ และที่สำคัญเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำของเราเองทีหลัง "
เรื่องที่ 14 ลูกชาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้เลี้ยงดูพ่อแก่ๆ ซึ่งทุพลภาพอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นในแต่ละวันชายหนุ่มจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูแลพ่อแก่ๆเป็นเวลานาน ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบื่อที่จะดูแลพ่อแก่ๆเต็มที ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการร่วมกับภรรยาที่จะนำพ่อแก่ๆคนนี้ไปฆ่าและฝังไว้ในป่า ลึกเสีย
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มได้นำพ่อแก่ๆขึ้นเกวียน แล้วขับพาเข้าไปในป่าลึก เหตุการณ์นี้เจ้าลูกชายตัวน้อยของเขาก็รู้เรื่องมาโดยตลอด เด็กชายรู้สึกสงสารปู่มาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้นั่งเกวียนติดตามมาด้วย ระหว่างทางเด็กน้อยก็ได้ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยปู่ได้
เมื่อมาถึงป่าลึก ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขุดหลุมขนาดใหญ่ในเสร็จอย่างเร็วไว
เมื่อขุดเสร็จแล้วก็จับเอากิ่งไม้ใหญ่หวังจะไปทุบตีให้พ่อแก่ๆตายเสียที
เด็กน้อยไม่รอช้ารีบตะโกนทันทีว่า
เด็กน้อย : ช้าก่อนท่านพ่อ รอข้าก่อน ข้ายังทำภารกิจไม่เสร็จ (พูดพลางเดินหยิบจอบไปขุดหลุมพลาง)
ชายหนุ่ม : ภารกิจอะไรของเจ้า
เด็กน้อย : หลุมฝังศพไง
ชายหนุ่ม : เจ้าจะขุดทำไม พ่อขุดแล้ว หลุมเดียวก็พอแล้ว ปู่ของเจ้ามีคนเดียว
เด็กน้อยนิ่งเงียบก่อนจะพูดว่า "ข้าไม่ได้จะขุดหลุมฝังศพท่านปู่ แต่ข้าจะขุดฝังศพท่านพ่อ เมื่อท่านพ่อแก่เหมือนท่านปู่ยังไงละ"
ชายหนุ่มตกตะลึงในคำตอบที่ได้รับจากลูกชาย เขานึกภาพเหตุการณ์เมื่อเขาแก่แล้วจะถูกลูกชายที่เขารักฆ่าตายแล้วฝังในหลุม มันช่างเหมื่อนกับที่เขากำลังทำกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขาตอนนี้จัง ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ได้สติ สำนึกผิดกับสิ่งที่กำลังทำ และร้องไห้โฮ รีบวิ่งเข้าไปโอบกอดร่างแก่ๆของบิดาตน พร้อมทั้งก้มกราบขอขมาโทษที่ได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง จากเหตุการณ์คำพูดของลูกชายในครั้งนั้น ทำให้ชายหนุ่มได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาได้ตั้งใจเลี้ยงดูบิดาอย่างดีเพื่อให้มีความสุขที่สุด
เด็กน้อย : ช้าก่อนท่านพ่อ รอข้าก่อน ข้ายังทำภารกิจไม่เสร็จ (พูดพลางเดินหยิบจอบไปขุดหลุมพลาง)
ชายหนุ่ม : ภารกิจอะไรของเจ้า
เด็กน้อย : หลุมฝังศพไง
ชายหนุ่ม : เจ้าจะขุดทำไม พ่อขุดแล้ว หลุมเดียวก็พอแล้ว ปู่ของเจ้ามีคนเดียว
เด็กน้อยนิ่งเงียบก่อนจะพูดว่า "ข้าไม่ได้จะขุดหลุมฝังศพท่านปู่ แต่ข้าจะขุดฝังศพท่านพ่อ เมื่อท่านพ่อแก่เหมือนท่านปู่ยังไงละ"
ชายหนุ่มตกตะลึงในคำตอบที่ได้รับจากลูกชาย เขานึกภาพเหตุการณ์เมื่อเขาแก่แล้วจะถูกลูกชายที่เขารักฆ่าตายแล้วฝังในหลุม มันช่างเหมื่อนกับที่เขากำลังทำกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขาตอนนี้จัง ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ได้สติ สำนึกผิดกับสิ่งที่กำลังทำ และร้องไห้โฮ รีบวิ่งเข้าไปโอบกอดร่างแก่ๆของบิดาตน พร้อมทั้งก้มกราบขอขมาโทษที่ได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรง จากเหตุการณ์คำพูดของลูกชายในครั้งนั้น ทำให้ชายหนุ่มได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาได้ตั้งใจเลี้ยงดูบิดาอย่างดีเพื่อให้มีความสุขที่สุด
เรื่องที่ 13 หินสองก้อน
กาลครั้้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ห้องโถงใหญ่แหงหนึ่ง มีหินอยู่ 2 ก้อน หินก้อนที่หนึ่งถูกแกะสลักเป็นรูปเคารพ ถูกตั้งไว้บนแท่นสูง หินก้อนที่สองถูกนำมาปูเป็นพื้นห้องด้านล่าง
ในขณะนั้นเองหินก้อนล่างได้พูดเอะอะโวยวายออกมาว่า
หินก้อนล่าง : โลกนี้ช่างไม่มีความยุติธรรมเลย
เราทั้งสองถูกนำมาที่นี่พร้อมกัน
แต่ทำไมเขาเลือกตั้งท่านไว้ในที่สูงอย่างสง่างาม
มีผู้คนสัญจรมากราบไหว้ทุกวัน
ส่วนเราถูกนอนไว้ในที่ต่ำถูกเหยียบย่ำอยู่ทุกวัน
หินก้อนบน : ท่านจำได้ไหมวันแรกที่เรามาที่นี่พร้อมกัน วันนั้นช่างได้มาวัดตัวเราทั้งสอง พร้อมทั้งใช้เครื่องมือมาทุบ ตี บด งัดแงะ และระเบิด ตามส่วนต่างๆบนร่างกาย ซึ่งในวันนั้นเรายอมที่จะให้ช่างทำอะไรบนร่างกายของเรา ส่วนท่าน ท่านไม่ยอม ท่านได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จนช่างทำอะไรกับท่านไม่ได้ และในที่สุดจากการอดทนจนถึงที่สุดของเรา เราได้กลายมาเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ ส่วนท่าน ช่างเลือกที่จะตัดท่านเป็นแผ่นแล้วนำมาปูเป็นพื้นห้องเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ ช่างจะทำได้
หินก้อนล่างนิ่งคิดมองย้อนดูอดีตตน ตามที่เพื่อนพูด
หินก้อนบน : ท่านลองคิดดูเถิด การที่ท่านเป็นอย่างนี้ ใช่โลกนี้ไม่มีความยุติิธรรมกับท่าน หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
พูดเสร็จ หินทั้งสองก็นิ่งเงียบ เพราะขณะนี้ มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาในโถง เพื่อแวะมาสักการะเทวรูปอันศักสิทธิ์ที่สร้างจากหินก้อนบน ด้วยจิตใจที่แช่มชื่นเบิกบาน
หินก้อนบน : ท่านจำได้ไหมวันแรกที่เรามาที่นี่พร้อมกัน วันนั้นช่างได้มาวัดตัวเราทั้งสอง พร้อมทั้งใช้เครื่องมือมาทุบ ตี บด งัดแงะ และระเบิด ตามส่วนต่างๆบนร่างกาย ซึ่งในวันนั้นเรายอมที่จะให้ช่างทำอะไรบนร่างกายของเรา ส่วนท่าน ท่านไม่ยอม ท่านได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จนช่างทำอะไรกับท่านไม่ได้ และในที่สุดจากการอดทนจนถึงที่สุดของเรา เราได้กลายมาเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ ส่วนท่าน ช่างเลือกที่จะตัดท่านเป็นแผ่นแล้วนำมาปูเป็นพื้นห้องเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ ช่างจะทำได้
หินก้อนล่างนิ่งคิดมองย้อนดูอดีตตน ตามที่เพื่อนพูด
หินก้อนบน : ท่านลองคิดดูเถิด การที่ท่านเป็นอย่างนี้ ใช่โลกนี้ไม่มีความยุติิธรรมกับท่าน หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
พูดเสร็จ หินทั้งสองก็นิ่งเงียบ เพราะขณะนี้ มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาในโถง เพื่อแวะมาสักการะเทวรูปอันศักสิทธิ์ที่สร้างจากหินก้อนบน ด้วยจิตใจที่แช่มชื่นเบิกบาน
เรื่องที่ 12 นกบิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนักจิตอาสามาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อวัดเซน 3 คน หลวงพ่อได้ให้พวกเขาไปนั่งสังเกตท้องฟ้า ว่าวันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เมื่อการสังเกตสิ้นสุดลง หลวงพ่อจึงได้สนทนากับพวกเขา ดังนี้
หลวงพ่อ : แต่ละคนบอกหน่อยซิ เห็นอะไรบ้าง
คนที่ 1 : ผมเห็นเครื่องบินลำใหญ่ลำหนึ่ง กำลังขนส่งผู้โดยสารบินผ่านไปครับ
คนที่ 2 : ผมเห็นนกน้อยหนึ่งตัวบินคาบหญ้ากลับไปกลับมาเพื่อสร้างรัง ให้นกอีกหลาบตัวได้อยู่อาศัยครับ
หลวงพ่อ : เออ แล้วเหตุการณ์เครื่องบิน กับ นกน้อย มีอะไรที่เหมือนกัน
ทุกคน : ทั้งสองอย่างกำลังทำประโยชน์ให้กับคนอื่นครับ
หลวงพ่อ : เหรอ แล้วเหตุการณ์เครื่องบิน กับ นก มีอะไรที่ต่างกัน
ทุกคนนิ่งเงียบ คิดหาเหตุผลเพื่อตอบหลวงพ่อ ในที่สุดชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า " ในขณะที่เครื่องบินทำประโยชน์ได้ทิ้งรอยคือควันเอาไว้ แต่นกไม่ทิ้งรอยให้เห็นเลยครับ"
หลวงพ่อฉีกยิ้มกว้างให้กับคำตอบของเขา ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า
คนเราก็เหมือนกันนะ หลายคนมุ่งสร้างความดี เสียสละ เพื่อทำประโยชน์ใหญ่ให้คนอื่น แต่หลายคนทำแล้วก็ไม่ค่อยมีความสุขเพราะเขาเหล่านั้นได้ทิ้้งรอย คือ ความคาดหวัง ความปรารถนา จนยึดมั่นถือมั่นในผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของเขา
แต่บางคนทำแล้วเขามีความสุข เพราะอุดมการณ์ในการทำความดีของเขานั้น เขาทำความดีที่ได้ทำ ทำโดยไม่มีความปรารถนาให้เดือดเนื้อร้อนใจ ปิติสุขกับการกระทำทุกขณะจิต แม้เขาจะทำสิ่งที่ยิงใหญ่แต่เขาก็มองเป็นสิ่งธรรมดา ไม่ยึดติดกับผลที่เกิดขึ้นเหมือนกับนกที่ค่อยๆบินผ่านไป ไม่มีรอย คือ ความคิดพะวงหลงเหลือให้เห็น ฉนั้นแล้ว ขอให้ทุกคนจงทำดี ไม่หวังดี ประดุจดังนกบินไม่ทิ้งรอย แล้วเราจะได้พบกับความสงบสุขที่ยิ่งใหญ่
เรื่องที่ 11 เขียวกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วหลวงพ่อวัดเซนได้ให้พวกเด็กวัด ไปนั่งสังเกตดูควายที่กำลังกินหญ้าในแปลงนาของชาวบ้าน หลายชั่วโมงผ่านไปหลวงพ่อจึงได้ถามขึ้นว่า
หลวงพ่อ : พวกเจ้าเห็นอะไรบ้าง
เด็กวัด : เห็นแต่ควายกำลังกินหญ้าครับ กินแปลงนั้น แล้วก็เดินไปกินแปลงนี้ เดินกินกลับไปกลับมาสับสนปนเปกันไปหมด
หลวงพ่อ : เหรอ ควายมันมีพฤติกรรมอย่างนันเหรอ แล้วรู้ไหม
เจ้าควายมันคิดยังไง มันจึงได้เดินกินหญ้ากลับไปกลับมา แปลงนั้นทีแปลงนี้ที
เด็กวัด : มันคงคิดว่าหญ้าแปลงอื่นๆ เขียวกว่า ยาวกว่า อร่อยกว่ามั้งครับ
หลวงพ่อ : อ๋อ ยังงั้นเหรอ มันคิดว่าหญ้าแปลงอื่นเขียวกว่าแปลงที่มันกินเหรอ เอ้อ พฤติกรรมแบบนี้ ช่างเหมือนคนเราเสียจริงๆ
อ้าวหลวงพ่อ เด็กวัดหลายคนมองหลวงพ่ออย่างฉงน สนทนาเรื่องควายอยู่ดีดี ทำไมมาเป็นคนได้ยังไงกัน และที่สำคัญมันเหมือนกันได้อย่างไร
เด็กวัด : เหมือนยังไงครับ
หลวงพ่อ : ก็เวลาที่คนเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เรามักจะมองไม่เห็นความเขียวของงานที่เรากำลังทำ เราจะชอบมองว่า งานอื่น สิ่งอื่น ดีกว่า หรือ น่าจะดีกว่า แล้วก็ละจากสิ่งเก่างานเก่า ไปตั้งต้นทำสิ่งใหม่ ทำสิ่งใหม่ได้ไม่นานความรู้สึกเดิมก็เกิดขึ้นอีก ก็หันไปทำสิ่งใหม่ๆกว่าอีก
เด็กวัดทุกคนตั้งใจฟังด้วยความเงียบ หลังจากนั้นหลวงพ่อจะสอนต่อไปว่า
ไม่ใช่แค่งานนะ ตัวเรา ความเป็นเรา สิ่งที่เราเป็นด้วย ถ้าเราเห็นความเขียวของมัน เราก็จะรู้สึกว่าตัวเรา หรือ สิ่งที่เราเป็น มีคุณค่า มีประโยชน์ ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจ และแน่วแน่ในสิ่งที่เราเป็น และยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เราปรารถนา ในสิ่งที่เราฝันให้สำเร็จ พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
เด็กวัด : มันคงคิดว่าหญ้าแปลงอื่นๆ เขียวกว่า ยาวกว่า อร่อยกว่ามั้งครับ
หลวงพ่อ : อ๋อ ยังงั้นเหรอ มันคิดว่าหญ้าแปลงอื่นเขียวกว่าแปลงที่มันกินเหรอ เอ้อ พฤติกรรมแบบนี้ ช่างเหมือนคนเราเสียจริงๆ
อ้าวหลวงพ่อ เด็กวัดหลายคนมองหลวงพ่ออย่างฉงน สนทนาเรื่องควายอยู่ดีดี ทำไมมาเป็นคนได้ยังไงกัน และที่สำคัญมันเหมือนกันได้อย่างไร
เด็กวัด : เหมือนยังไงครับ
หลวงพ่อ : ก็เวลาที่คนเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เรามักจะมองไม่เห็นความเขียวของงานที่เรากำลังทำ เราจะชอบมองว่า งานอื่น สิ่งอื่น ดีกว่า หรือ น่าจะดีกว่า แล้วก็ละจากสิ่งเก่างานเก่า ไปตั้งต้นทำสิ่งใหม่ ทำสิ่งใหม่ได้ไม่นานความรู้สึกเดิมก็เกิดขึ้นอีก ก็หันไปทำสิ่งใหม่ๆกว่าอีก
เด็กวัดทุกคนตั้งใจฟังด้วยความเงียบ หลังจากนั้นหลวงพ่อจะสอนต่อไปว่า
ไม่ใช่แค่งานนะ ตัวเรา ความเป็นเรา สิ่งที่เราเป็นด้วย ถ้าเราเห็นความเขียวของมัน เราก็จะรู้สึกว่าตัวเรา หรือ สิ่งที่เราเป็น มีคุณค่า มีประโยชน์ ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจ และแน่วแน่ในสิ่งที่เราเป็น และยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เราปรารถนา ในสิ่งที่เราฝันให้สำเร็จ พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
เรื่องที่ 10 จอมโจรใจบาป
การครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังพาบิดามารดาตาบอดไปฆ่าที่ป่าแห่งหนึ่ง สาเหตุเป็นเพราะไม่มีหญิงสาวคนไหนอยากมาอยู่กินกับเขา เพราะไม่อยากเลี้ยงคนแก่ตาบอดสองคน
ชายหนุ่มได้หลอกบิดามารดาของตนว่าจะพาไปหาที่อยู่ใหม่ทีดีกว่าเดิม แต่ระหว่างทางจะต้องเดินทางผ่านป่า กล่าวถึงบิดามารดาก็ดีใจมากที่จะได้ที่อยู่ใหม่ที่สะดวกสบายขึ้น "แหมลูกชายเราน่ารักจังเลย" คนแก่สองคนครุ่นคิดตามทางเรื่อยมา
เมื่อมาถึงกลางป่า ทางชายหนุ่มก็แจ้งบิดามารดาว่า
จะขอลงไปสำรวจทางสักครู่ ให้นั่งรอที่เกวียนก่อนนะ
เมื่อลงจากเกวียนได้ชายหนุ่มก็ทำท่าต่อยตีกับต้นไม้ทำเสียงร้องโหยหวนเจ็บ
ปวดเพื่อสร้างสถานการณ์ว่าโจรมาปล้นทำร้าย
บิดามารดาตาบอดเข้าใจว่าโจรจะฆ่าลูกชายก็ตะโกนด้วยความห่วงใยว่า
ลูกระวัง!!! ลูกระวัง!!!! หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินมาหาคนแก่
พร้อมกับเปลี่ยนโทนเสียงใหม่เป็นเสียงที่ดุดันว่า
ชายหนุ่ม : อ่ะ อ่ะ อ่า คนแก่สองคน คนรกโลกอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มานี่ข้าจะสงเคราะห์ให้ไปสวรรค์เร็วๆ ว่าแล้วก็เอาไม้ทุบตีอย่างรุนแรง
แม้จะเจ็บสักเพียงใด คนแก่สองคนก็ไม่หยุดที่ร้องว่า " ลูกหนีไป ลูกหนีไป ไม่ต้องห่วงพ่อแม่หรอก รีบหนีไป รีบหนีไป "
จอมโจรเริ่มมือไม้อ่อนลง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดทุบตี จนบัดนี้ร่างกายคนแก่สองคนได้อ่อนปวกเปียกลง มีแต่เสียงทีแผ่วเบาว่า " โจรจ๋า ฆ่าแต่ฉันนะ อย่าฆ่าลูกฉันเลย ฉันรักเขามาก เขาคือชีวิตของฉัน" "ลูกเอ๋ย เจ้าแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ เจ้าหนีไปให้ได้นะ ชีวิตพ่อกับแม่ทั้งชีวิตนี้แลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความตายเพื่อเจ้า อย่าห่วงพ่อแม่เลยรีบหนีไปนะลูก รีบหนีไปนะลูก ๆ "
ชายหนุ่มเมื่อได้ฟัง ก็ได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากบิดามารดาตน เขาจึงได้สำนึกผิดในความผิดอันใหญ่หลวงที่ตนได้ก่อไว้กับผู้มีพระคุณ ว่าแล้วเขาจึงรีบนั่งคุกเข่าลงไปช้อนเอาร่างคนแก่สองคนมาโอบกอดไว้ แล้วก็ร้องไห้โฮ แต่ทว่าชายหนุ่มคนนี้ยังโชคดีที่บิดามารดายังไม่สิ้นใจ เขาจึงรีบโอบอุ้มเอาร่างบิดามารดาขึ้นเกวียนแล้วรีบพาไปยังบ้านหมอที่เก่ง ที่สุดเพ่อให้รักษาบิดามารดาให้หาย แม้ค่ารักษาจะแลกด้วยทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ทั้งหมดก็ตาม
วันเวลาผ่านไปบาดแผลกายของคนแก่สองคนก็ได้หายสนิทไป แต่ทว่าบาดแผลในใจชายหนุ่มนี่ซิ ไม่มีทีท่าว่าจะบางเบาเลย
ชายหนุ่ม : อ่ะ อ่ะ อ่า คนแก่สองคน คนรกโลกอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มานี่ข้าจะสงเคราะห์ให้ไปสวรรค์เร็วๆ ว่าแล้วก็เอาไม้ทุบตีอย่างรุนแรง
แม้จะเจ็บสักเพียงใด คนแก่สองคนก็ไม่หยุดที่ร้องว่า " ลูกหนีไป ลูกหนีไป ไม่ต้องห่วงพ่อแม่หรอก รีบหนีไป รีบหนีไป "
จอมโจรเริ่มมือไม้อ่อนลง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดทุบตี จนบัดนี้ร่างกายคนแก่สองคนได้อ่อนปวกเปียกลง มีแต่เสียงทีแผ่วเบาว่า " โจรจ๋า ฆ่าแต่ฉันนะ อย่าฆ่าลูกฉันเลย ฉันรักเขามาก เขาคือชีวิตของฉัน" "ลูกเอ๋ย เจ้าแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ เจ้าหนีไปให้ได้นะ ชีวิตพ่อกับแม่ทั้งชีวิตนี้แลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความตายเพื่อเจ้า อย่าห่วงพ่อแม่เลยรีบหนีไปนะลูก รีบหนีไปนะลูก ๆ "
ชายหนุ่มเมื่อได้ฟัง ก็ได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากบิดามารดาตน เขาจึงได้สำนึกผิดในความผิดอันใหญ่หลวงที่ตนได้ก่อไว้กับผู้มีพระคุณ ว่าแล้วเขาจึงรีบนั่งคุกเข่าลงไปช้อนเอาร่างคนแก่สองคนมาโอบกอดไว้ แล้วก็ร้องไห้โฮ แต่ทว่าชายหนุ่มคนนี้ยังโชคดีที่บิดามารดายังไม่สิ้นใจ เขาจึงรีบโอบอุ้มเอาร่างบิดามารดาขึ้นเกวียนแล้วรีบพาไปยังบ้านหมอที่เก่ง ที่สุดเพ่อให้รักษาบิดามารดาให้หาย แม้ค่ารักษาจะแลกด้วยทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ทั้งหมดก็ตาม
วันเวลาผ่านไปบาดแผลกายของคนแก่สองคนก็ได้หายสนิทไป แต่ทว่าบาดแผลในใจชายหนุ่มนี่ซิ ไม่มีทีท่าว่าจะบางเบาเลย
เรื่องที่ 9 นักดำน้ำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเซนกำลังสอนลูกศิษย์ ให้เห็นคุณค่าของคุณธรรมบางอย่างที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จในชีวิต เนื่องจากลูกศิษย์คนนี้เป็นคนดำน้ำเก่ง ดังนั้น พระเซนจึงได้ให้เขาเรียนรู้บทเรียนนี้ ผ่านการดำน้ำ
พระเซน : เอ้า คุณ ลองมองลงไปสำรวจสระ สัก 1 นาทีซิ คุณจะเห็นอะไร
ชายหนุ่ม : เห็นดอกบัวที่เบ่งบานอย่างสง่างาม ส่งกลิ่นหอมชวนชื่นชมอยู่เหนือน้ำครับ
พระเซน : เหรอ งั้นลองดำน้ำลงไปดูใต้น้ำสัก 2 นาทีซิ คุณจะเห็นอะไร
ชายหนุ่ม : เฮ้อ เห็นแต่สายบัว และ ข้างล่างก็ืมีแต่โคลนตมครับ
พระเซน : อ๋อ โคลนตม เหรอ งั้นดำลงไปดูสัก 3 นาทีซิว่าใต้โคลนตมมีอะไร
ชายหนุ่มหายไปนานพอสมควร ก่อนที่รีบดันตัวขึ้นมาอย่างกระหืดกระหอบ " โอ้ววว!!!! ไม่ไหวแล้วพระคุณเจ้า มีแต่โคลนเน่าๆ เหม็นๆครับ อั๊ว!! (ทำท่าทางเหมือนจะอาเจียร)
พระเซน : เอ้า!!! ขึ้นมาๆ เดี๋ยวจะเป็นลมตาย (จากนั้นพระเซนจึงถามว่า)เหตุการณ์เมื่อกี้คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ชายหนุ่ม : ความอดทนครับ เพราะผมต้องใช้ความอดทนสูงมาก ในการกลั้นหายใจในการสำรวจกอบัวใต้น้ำครับ
พระเซนนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะพูดว่า อืม ความอดทนเหรอ เป็นสิ่งสำคัญมากนะ ในการทำกิจการงานใดๆ จะสำเร็จได้ ล้วนแต่ต้องอาศัยความอดทน ความอดทนนั่นแหละ ถือเป็นความเพียรความพยายามอย่างดีเลย ในช่วงแรกของการทำงานเราก็อาจจะทำได้ไม่ดีนัก มีผิดพลาด มีผิดหวัง มีล้มเหลว ก็เปรียบดังโคลนเน่าๆที่อยู่ใต้กอบัวนั่นแหละ แต่อย่าลืมนะว่า ดอกบัวที่งดงามเกิดจากโคลนเน่าๆ ได้ฉันใด ความสำเร็จที่งดงามก็เกิดจากความล้มเหลวได้ฉันนั้น จำได้ไหมพี่น้องตระกูลไร้ผู้ืั้ได้ติดปีกให้มนุษยชาติก็เช่นกัน ถ้าเขาไม่มีความอดทนสูงพอ เราไม่มีทางจะมีเครื่องบินขี่สดวกสบายอย่างทุกวันนี้หรอก
ดังนั้น ความอดทนคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ควรสร้างให้มีในตัวเรา เพราะมันคือรากฐานที่สำคัญอันจะนำไปสู่ความสำเร็จ
พระเซนนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะพูดว่า อืม ความอดทนเหรอ เป็นสิ่งสำคัญมากนะ ในการทำกิจการงานใดๆ จะสำเร็จได้ ล้วนแต่ต้องอาศัยความอดทน ความอดทนนั่นแหละ ถือเป็นความเพียรความพยายามอย่างดีเลย ในช่วงแรกของการทำงานเราก็อาจจะทำได้ไม่ดีนัก มีผิดพลาด มีผิดหวัง มีล้มเหลว ก็เปรียบดังโคลนเน่าๆที่อยู่ใต้กอบัวนั่นแหละ แต่อย่าลืมนะว่า ดอกบัวที่งดงามเกิดจากโคลนเน่าๆ ได้ฉันใด ความสำเร็จที่งดงามก็เกิดจากความล้มเหลวได้ฉันนั้น จำได้ไหมพี่น้องตระกูลไร้ผู้ืั้ได้ติดปีกให้มนุษยชาติก็เช่นกัน ถ้าเขาไม่มีความอดทนสูงพอ เราไม่มีทางจะมีเครื่องบินขี่สดวกสบายอย่างทุกวันนี้หรอก
ดังนั้น ความอดทนคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ควรสร้างให้มีในตัวเรา เพราะมันคือรากฐานที่สำคัญอันจะนำไปสู่ความสำเร็จ
เรื่องที่ 8 เครื่องประดับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีความภูมิใจในฐานะและชา
ทุกครั้งที่เธอจะไปไหนมาไหนเธอมักแต่งตัวให้สวยงามและใส่เครื่องประดับราคาแพงก่อนเสมอ และผลก็น่าภาคถูมิใจ เพราะใครๆก็ชื่นชมในความงามของเธอ
วันหนึ่งเธอได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญที่วัดเซนแห่งหนึ่ง
เมื่อทำบุญเสร็จเธอสังเกตเห็นว่าหลวงพ่อชอบมองมาที่เธอ "
เอ๊ะหรือว่าหลวงพ่อกำลังชอบเรา " เธอคิดไปต่างๆ นาๆ
แต่แท้จริงแล้วหลวงพ่อไม่ได้ชอบเธอ หากแต่ความเมตตาเธออยู่ หวังอยากให้เธอหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในเครื่องแต่งตัวหันมามองคนอื่น ที่จิตใจ ที่ความดีงาม แต่ทว่าเธอคงไม่เข้าใจหลวงพ่อหรอก ยิ่งหลวงพ่อพูดประโยคนี้แล้วเธอยิ่งไปกันใหญ่
หลวงพ่อ : เออ วันนี้มีโยมคนหนึ่งได้ใส่เครื่องประดับสวยงามมากกว่าใครๆ มาวัดเรา
เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แหมหลวงพ่อชมเราเหลือเกิน
คิดในใจไม่ทันขาดคำ เธอก็ต้องแปลกใจเพราะชื่อที่หลวงพ่อเอ่ยนั้นไม่ใช่ชื่อเธอ
หลวงพ่อ : ยายชื่น ยายชื่น ได้ใส่เครื่องประดับที่สวยงามมากมาวัดเรา
เธอรีบกลับหลังหันไปมองยายชื่นทันที ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไหน ไหนเครื่องประดับสวยงามตรงไหน มีแต่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ เครื่องประดับก็ไม่มี ท่าทางหลวงพ่อจะมุสาละมัง เธอคิดในใจ
ขณะนั้นเองชาวบ้านทุกคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลวงพ่อจึงชมยายชื่นยิ่งนัก เขาจึงเอ่ยถามหลวงพ่อว่า " ทำไมหลวงพ่อชมยายชื่นว่าใส่เครื่องระดับที่สวยงามกว่าใครๆ ไม่เห็นเครื่องประดับที่สวยงามตรงไหนเลย มีแต่เสื้อผ้า เก่าๆและขาดรุ่งริ่ง"
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะตอบว่า เครื่องประดับที่สวยงามที่สุดในโลกคือรอยยิ้ม ยายชื่นใส่เครื่องประดับชนิดนี้มาทุกวัน ใครก็ตามที่เห็นเครื่องประดับยายชื่น ก็จะรู้สึกสุขใจ อบอุ่นใจ เครื่องประดับชนิดนี้ไม่ต้องหาซื้อให้ยาก ไม่ต้องใช้เงินแพงๆซื้อมา ธรรมชาติได้ให้เรามาตั้งแต่เกิดแล้ว ที่สำคัญมันสวยงามกว่าเครื่องประดับที่ซื้อด้วยเงินที่มีราคาแพงๆเสียอีก อย่าลืมเอามันมาสวมใส่ก่อนออกจากบ้านทุกวันละ พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็จากไป
แต่แท้จริงแล้วหลวงพ่อไม่ได้ชอบเธอ หากแต่ความเมตตาเธออยู่ หวังอยากให้เธอหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในเครื่องแต่งตัวหันมามองคนอื่น ที่จิตใจ ที่ความดีงาม แต่ทว่าเธอคงไม่เข้าใจหลวงพ่อหรอก ยิ่งหลวงพ่อพูดประโยคนี้แล้วเธอยิ่งไปกันใหญ่
หลวงพ่อ : เออ วันนี้มีโยมคนหนึ่งได้ใส่เครื่องประดับสวยงามมากกว่าใครๆ มาวัดเรา
เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แหมหลวงพ่อชมเราเหลือเกิน
คิดในใจไม่ทันขาดคำ เธอก็ต้องแปลกใจเพราะชื่อที่หลวงพ่อเอ่ยนั้นไม่ใช่ชื่อเธอ
หลวงพ่อ : ยายชื่น ยายชื่น ได้ใส่เครื่องประดับที่สวยงามมากมาวัดเรา
เธอรีบกลับหลังหันไปมองยายชื่นทันที ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไหน ไหนเครื่องประดับสวยงามตรงไหน มีแต่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ เครื่องประดับก็ไม่มี ท่าทางหลวงพ่อจะมุสาละมัง เธอคิดในใจ
ขณะนั้นเองชาวบ้านทุกคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลวงพ่อจึงชมยายชื่นยิ่งนัก เขาจึงเอ่ยถามหลวงพ่อว่า " ทำไมหลวงพ่อชมยายชื่นว่าใส่เครื่องระดับที่สวยงามกว่าใครๆ ไม่เห็นเครื่องประดับที่สวยงามตรงไหนเลย มีแต่เสื้อผ้า เก่าๆและขาดรุ่งริ่ง"
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะตอบว่า เครื่องประดับที่สวยงามที่สุดในโลกคือรอยยิ้ม ยายชื่นใส่เครื่องประดับชนิดนี้มาทุกวัน ใครก็ตามที่เห็นเครื่องประดับยายชื่น ก็จะรู้สึกสุขใจ อบอุ่นใจ เครื่องประดับชนิดนี้ไม่ต้องหาซื้อให้ยาก ไม่ต้องใช้เงินแพงๆซื้อมา ธรรมชาติได้ให้เรามาตั้งแต่เกิดแล้ว ที่สำคัญมันสวยงามกว่าเครื่องประดับที่ซื้อด้วยเงินที่มีราคาแพงๆเสียอีก อย่าลืมเอามันมาสวมใส่ก่อนออกจากบ้านทุกวันละ พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็จากไป
เรื่องที่ 7 กำแพง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หลวงพ่อวัดเซนได้สอนบทเรียนชีวิตสำคัญให้พวกเด็กวัด ก่อนที่จะออกจากวัดไปใช้ชีวิตในสังคม โดยให้มาช่วยกันก่อกำแพง ฝากเ็ห้เป็นอนุสรณ์แห่งความดีงามไว้ในวัด
หลวงพ่อ : เอ้า พวกเจ้าก่อนจากวัดไป ช่วยกันก่อกำแพงให้วัดด้วยอิฐ 100 ก้อน กองนี้นะ
เด็กวัด : ครับหลวงพ่อ พวกผมจะทำให้ดีที่สุด ให้เป็นกำแพงวัดที่สวยที่สุดเลยครับ
ว่าแล้วเด็กวัดทั้งหลายก็เริ่มลงมือทำ แต่ก่อนทำเขาไม่ลืมที่จะปรึกษากัน
วางแผนงานกัน ร่วมงานกันด้วยดี
ตามแบบฉบับที่หลวงพ่อสอนมาทุกกระเบียดนิ้ว
ทำได้ไม่นานนัก งานก็เสร็จสิ้นลง พวกเขาปรบมือ โห้ร้องดีใจ กันถ้วนหน้า " ไชโยกำแพงเสร็จแล้ว" ว่าแล้วพวกเขาก็ชวนกันถอยหลังออกมาดูไกลๆ ดูซิว่า ดูไกลๆ กำแพงของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เงียบ!! ไม่มีเสียงพูดใดๆเลย มีแต่คิ้วที่ค่อยๆขมวดจรดกันทีละน้อยๆ
จากนั้นจึงมีเสียงหนึ่งพูดขึนว่า " แย่จัง กำแพงของเราไม่สวยเอาเสียเลย ดูมันบิดๆบี้ยวๆ ยังไงชอบกล"
เด็กวัด : แต่เอ๊ะ!! จริงๆ แล้ว มันเป็นกับเจ้าอิฐ 2 ก้อนนั่นแหละที่พวกเราวางไม่ได้มุม มันจึงทำให้กำแพงดูบิดๆเบี้ยวๆ เฮ้อ อายหลวงพ่อจังเลยเนอะ พูดยังไม่ทันขาดคำหลวงพ่อก็เดินมาดูงาน มาถึงท่านเอาแต่ยืนิ่ง ไม่พูดอะไรเลย เด็กวัดหลายคนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงรีบพูดขึ้นว่า
เด็กวัด : หลวงพ่อครับพวกผมก่อกำแพงไม่สวยเลย เป็นเพราะวางอิฐ 2 ก้อนนั้นผิดตำแหน่งครับ มันเลยทำให้กำแพงบิดเบี้ยว พวกผมขอทุบแล้วทำกำแพงใหม่นะครับ (พูดพลางทำตาละหอยพลาง)
หลวงพ่อมองหน้าเด็กวัดทีละคนแล้วยิ้มอย่างเมตตาพลางพูดว่า " สวย สวยซิ ใครว่าไม่สวย "
เด็กวัดงงกันยกใหญ่ก่อนจะถามหลวงพ่อว่า
เด็กวัด : เอ๊ะสวยตรงไหนครับ ปกติงานที่หลวงพ่อสั่งต้องเนี๊ยบไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าหลวงพ่อมองไม่เห็นอิฐ 2 ก้อนนั้นครับ
พูดพลางชี้นิ้วพลางเพื่อให้หลวงพ่อมองเห็นอิฐ 2 ก้อนนั้นได้ถนัดๆ หลวงพ่อหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดว่า
หลวงพ่อ : เห็นซิ แต่เราเห็นอิฐ 98 ก้อนนั้นด้วย มันถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ ดังนั้นกำแพงนี้จึงสวยเพราะก้อนที่ดีมีตั้งมากมาย
เด็กวัดหลายคนเริ่มคิดใคร่ครวญตามหลวงพ่อ แล้วจึงถามว่า " หลวงพ่อกำลังจะสอนอะไรพวกเราเหรอครับ "
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนที่จะพูดว่า มุมมองของความคิดเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราติดในมุมที่มองแต่ข้อเสีย เราจะไม่เห็นข้อดี ฉนั้นในการใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมพวกเจ้าจงคำนึงเรื่องอิฐ 2ก้อนนี้ให้ดี คนทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่าให้ข้อเสียของคนอื่นเพียงน้อยนิด มาปิดกั้นความดีของเขา และอย่าตัดสินว่าเขาไม่ดีเพียงอิฐ 2 ก้อนที่เราเห็น
และที่สำคัญที่สุดเลยในชีวิตการทำงาน พวกเจ้าอย่าพยายามมองหาแต่อิฐ 2 ก้อน แต่ต้องมองหาอิฐ 98 ก้อน พูดเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็จากไป
ทำได้ไม่นานนัก งานก็เสร็จสิ้นลง พวกเขาปรบมือ โห้ร้องดีใจ กันถ้วนหน้า " ไชโยกำแพงเสร็จแล้ว" ว่าแล้วพวกเขาก็ชวนกันถอยหลังออกมาดูไกลๆ ดูซิว่า ดูไกลๆ กำแพงของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เงียบ!! ไม่มีเสียงพูดใดๆเลย มีแต่คิ้วที่ค่อยๆขมวดจรดกันทีละน้อยๆ
จากนั้นจึงมีเสียงหนึ่งพูดขึนว่า " แย่จัง กำแพงของเราไม่สวยเอาเสียเลย ดูมันบิดๆบี้ยวๆ ยังไงชอบกล"
เด็กวัด : แต่เอ๊ะ!! จริงๆ แล้ว มันเป็นกับเจ้าอิฐ 2 ก้อนนั่นแหละที่พวกเราวางไม่ได้มุม มันจึงทำให้กำแพงดูบิดๆเบี้ยวๆ เฮ้อ อายหลวงพ่อจังเลยเนอะ พูดยังไม่ทันขาดคำหลวงพ่อก็เดินมาดูงาน มาถึงท่านเอาแต่ยืนิ่ง ไม่พูดอะไรเลย เด็กวัดหลายคนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงรีบพูดขึ้นว่า
เด็กวัด : หลวงพ่อครับพวกผมก่อกำแพงไม่สวยเลย เป็นเพราะวางอิฐ 2 ก้อนนั้นผิดตำแหน่งครับ มันเลยทำให้กำแพงบิดเบี้ยว พวกผมขอทุบแล้วทำกำแพงใหม่นะครับ (พูดพลางทำตาละหอยพลาง)
หลวงพ่อมองหน้าเด็กวัดทีละคนแล้วยิ้มอย่างเมตตาพลางพูดว่า " สวย สวยซิ ใครว่าไม่สวย "
เด็กวัดงงกันยกใหญ่ก่อนจะถามหลวงพ่อว่า
เด็กวัด : เอ๊ะสวยตรงไหนครับ ปกติงานที่หลวงพ่อสั่งต้องเนี๊ยบไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าหลวงพ่อมองไม่เห็นอิฐ 2 ก้อนนั้นครับ
พูดพลางชี้นิ้วพลางเพื่อให้หลวงพ่อมองเห็นอิฐ 2 ก้อนนั้นได้ถนัดๆ หลวงพ่อหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดว่า
หลวงพ่อ : เห็นซิ แต่เราเห็นอิฐ 98 ก้อนนั้นด้วย มันถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ ดังนั้นกำแพงนี้จึงสวยเพราะก้อนที่ดีมีตั้งมากมาย
เด็กวัดหลายคนเริ่มคิดใคร่ครวญตามหลวงพ่อ แล้วจึงถามว่า " หลวงพ่อกำลังจะสอนอะไรพวกเราเหรอครับ "
หลวงพ่อนิ่งเงียบสักครู่ก่อนที่จะพูดว่า มุมมองของความคิดเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราติดในมุมที่มองแต่ข้อเสีย เราจะไม่เห็นข้อดี ฉนั้นในการใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมพวกเจ้าจงคำนึงเรื่องอิฐ 2ก้อนนี้ให้ดี คนทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่าให้ข้อเสียของคนอื่นเพียงน้อยนิด มาปิดกั้นความดีของเขา และอย่าตัดสินว่าเขาไม่ดีเพียงอิฐ 2 ก้อนที่เราเห็น
และที่สำคัญที่สุดเลยในชีวิตการทำงาน พวกเจ้าอย่าพยายามมองหาแต่อิฐ 2 ก้อน แต่ต้องมองหาอิฐ 98 ก้อน พูดเพียงเท่านี้หลวงพ่อก็จากไป
เรื่องที่ 6 หนอนผีเสื้อ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเซนได้ได้พาชาวเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่ง คือ โรคแห่ง "ความท้อแท้ ถอดใจ " ชาวเมืองกลุ่มนี้เมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ ก็จะรู้สึกเศร้าเสียใจ ท้อแท้ หมดหวัง ไม่มีพลังอยากทำเรื่องนั้นอีกต่อไป เมื่อทุกคนเดินทางมาถึงแล้ว พระเซนก็พูดขึ้นว่า
พระเซน : เฮ้า ทุกคน ป่าไม้ข้างหน้า คือ ป่าต้นแสงจันทร์ ให้ทุกคนไปสำรวจดูซิ จะเห็นอะไรบ้าง
พอทุกคนเริ่มก้าวเข้าไปในป่าเ่ท่านั้นแหละ
กรี๊ดดดดด หนอนเต็มไปหมดเลย ตัวโต๊โต น่าเกียจน่ากลัวจังเลย
ว้ายยยย ทางนี้ก็มี ทางนั้นก็มี เต็มไปหมดเลย ฮึย มีลาย มีขน น่ารังเกียจที่สุดเลย
ทุกคนต่างพากันวิ่งหนีหนอนกันให้วุ่น เพราะกลัวหนอนเหล่านั้นจะมาโดนตัวตนเอง
พระเซน : เฮ้า ๆ พอแล้ว ออกมาได้แล้ว ต่อไปทุกคนลองเข้าไปสำรวจในสวนเซนของวัดเราซิ จะเห็นอะไร
สวนเซนเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายพรรณ มองดูดาษดื่นตาเป็นยิ่งนัก ชาวเมืองต่างพากันชื่นชมดอกไม้อย่างมีความสุข และยิ่งเพลินใจมากขึ้นเมื่อได้เห็นเหล่าผีเสื้อนับพันตัว บินวนเวีนรอบตัวไปมา มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย ลวดลายบนปีกช่างสวยงามยิ่งนัก บางคนถึงกับยืนเป็นหุ่นนิ่งเพื่อให้ผีเสื้อมาเกาะตัวเล่น เล่นกับผีเสื้อได้ไม่นานพระเซนก็ส่งสญญาณหมดเวลา
พระเซน : ท่านเห็นอะไรบ้าง จากเหตุการณ์ทั้งสอง
ชาวเมือง : เหตุการณ์ที่ 1 มีแต่หนอนน่ารังเกียจ ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 มีแต่ผีเสื้อน่ารักๆ
พอได้ฟังเท่านั้นพระเซนก็นิ่งเงียบ แล้วค่อยพูดเบาๆว่า
"เฮ้อ ทำไมหนอมนุษย์เราจึงเลือกที่จะรักเฉพาะผีเสื้อ แต่รังเกียจหนอน ทั้งที่สองสิงนี้คือสิ่งเดียวกัน ทำไม่ไม่รักทั้งผีเสื้อ รักทั้งหนอน เพราะไม่มีผีเสื้อตัวไหนที่ไม่เคยเป็นหนอนมาก่อน” ชาวเมืองทุกคนพอได้ฟังอย่างนั้น ก็นิ่งเงียบ คิดตาม จากนั้นพระเซนจึงพูดต่อไปอีกว่า
การที่เราจะกระทำการสิ่งใดสำเร็จได้ก็เหมือนกัน ล้วนแต่ต้องอาศัยประสบการณ์จากความล้มเหลวทังสิ้น ความล้มเหลวในวันนี้แหละจะเป็นประสบการณ์ที่ดี จะเป็นบันไดไต่ไปสู่ความสำเร็จให้เราในวันหน้า เอดิสันผลิตหลอดไฟครั้งแล้วครั้งเล่านับหมืนครั้ง จึงสามารถผลิตหลอดไฟได้ ถ้าเขาท้อแท้ ถอดใจก่อน เราคงไม่มีไฟฟ้าใช้ในวันนี้แน่
นักปราชน์ทั้งหลายเมื่อทำการใดไม่สำเร็จ เขาจะบอกตัวเองว่า อย่างน้อยเราก็ค้นพบว่ามีวิธีที่ทำไม่สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธี ฉนั้นแล้วขอเราอย่าได้รังเกียจความล้มเหลวอีกต่อไปเลย ต้องขอบคุณความล้มเหลวถึงจะถูก เพราะมันคือหนอนที่จะนำไปสู่ความเป็นผีเสื้อให้เรานั่นเอง
สวนเซนเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายพรรณ มองดูดาษดื่นตาเป็นยิ่งนัก ชาวเมืองต่างพากันชื่นชมดอกไม้อย่างมีความสุข และยิ่งเพลินใจมากขึ้นเมื่อได้เห็นเหล่าผีเสื้อนับพันตัว บินวนเวีนรอบตัวไปมา มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย ลวดลายบนปีกช่างสวยงามยิ่งนัก บางคนถึงกับยืนเป็นหุ่นนิ่งเพื่อให้ผีเสื้อมาเกาะตัวเล่น เล่นกับผีเสื้อได้ไม่นานพระเซนก็ส่งสญญาณหมดเวลา
พระเซน : ท่านเห็นอะไรบ้าง จากเหตุการณ์ทั้งสอง
ชาวเมือง : เหตุการณ์ที่ 1 มีแต่หนอนน่ารังเกียจ ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 มีแต่ผีเสื้อน่ารักๆ
พอได้ฟังเท่านั้นพระเซนก็นิ่งเงียบ แล้วค่อยพูดเบาๆว่า
"เฮ้อ ทำไมหนอมนุษย์เราจึงเลือกที่จะรักเฉพาะผีเสื้อ แต่รังเกียจหนอน ทั้งที่สองสิงนี้คือสิ่งเดียวกัน ทำไม่ไม่รักทั้งผีเสื้อ รักทั้งหนอน เพราะไม่มีผีเสื้อตัวไหนที่ไม่เคยเป็นหนอนมาก่อน” ชาวเมืองทุกคนพอได้ฟังอย่างนั้น ก็นิ่งเงียบ คิดตาม จากนั้นพระเซนจึงพูดต่อไปอีกว่า
การที่เราจะกระทำการสิ่งใดสำเร็จได้ก็เหมือนกัน ล้วนแต่ต้องอาศัยประสบการณ์จากความล้มเหลวทังสิ้น ความล้มเหลวในวันนี้แหละจะเป็นประสบการณ์ที่ดี จะเป็นบันไดไต่ไปสู่ความสำเร็จให้เราในวันหน้า เอดิสันผลิตหลอดไฟครั้งแล้วครั้งเล่านับหมืนครั้ง จึงสามารถผลิตหลอดไฟได้ ถ้าเขาท้อแท้ ถอดใจก่อน เราคงไม่มีไฟฟ้าใช้ในวันนี้แน่
นักปราชน์ทั้งหลายเมื่อทำการใดไม่สำเร็จ เขาจะบอกตัวเองว่า อย่างน้อยเราก็ค้นพบว่ามีวิธีที่ทำไม่สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธี ฉนั้นแล้วขอเราอย่าได้รังเกียจความล้มเหลวอีกต่อไปเลย ต้องขอบคุณความล้มเหลวถึงจะถูก เพราะมันคือหนอนที่จะนำไปสู่ความเป็นผีเสื้อให้เรานั่นเอง
เรื่องที่ 5 เกลียด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพระราชาใจดีองค์หนึ่ง เขาได้สั่งอภัยโทษให้โจรกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเหตุนี้เองทำให้ชาวเมืองเกิดความไม่พอใจเป็นยิ่งนัก เพราะพวกเขาเกลียดชังโจรเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง แม้จะรู้ดีว่าโจรเหล่านั้นกลับใจแล้วก็ตาม มันก็ไม่อาจลบล้างความชั่วที่โจรเหล่านี้ก่อไว้ได้
กล่าวถึงพระราชา เขาไม่อยากให้ชาวเมืองมีจิตใจแบบนี้เลย เขาจึงได้ไปนิมนต์พระเซนมาเทศนาโปรด เพื่อให้ชาวเมืองทั้งหลายกลับใจและเปลี่ยนแนวความคิดใหม่
เมื่อพระเซนมาถึง ท่านก็พูดขึ้นว่า " อาตมาเห็นน้ำที่แห้งขอดอยู่
มีปลาอยู่ในนั้นกำลังใกล้จะตาย
พวกท่านช่วยกันลงไปจับปลาไปปล่อยในบ่อใหม่ที่มีน้ำเต็มบ่อให้ที”
ชาวเมืองก็พากันทำตามอย่างว่าง่าย แต่กระนั้นก็มีบางคนบ่นว่า ยุ่งยากจัง
จะเทศก็ไม่เทศน์สักที ไม่รู้ให้พวกเราทำอะไร
เมื่อจับปลาไปปล่อยเสร็จ พระเซนก็ถามว่า สภาพพวกท่านตอนนี้เป็นอย่างไร
ชาวเมืองตอบว่า " อื้อฮือ เลอะเทะ มอมแมม สกปรก ไปหมดเลยครับท่าน แถมมีกลิ่นเหม็นของโคลนเน่าๆติดตัวมาด้วยอีกต่างหากครับ" อ๊วกกก เสียงบางคนอาเจียรเพราะทนกลิ่นเหม็นของโคลนไม่ไหว
พระเซน : " งั้นพวกท่านไปอาบน้ำล้างตัวกันก่อนเถอะ แล้วค่อยมาเจอเรา" ชาวเมืองรีบกลับไปอาบน้ำล้างตัวจนสะอาดสะอ้านหมดจด พลางปะแป้ง หอมฉุนเสียด้วย แล้วรีบกลับมาหาพระเซนด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล
ชาวเมือง : "ตอนนี้พวกเราอาบน้ำแล้วครับ ร่างกายสะอาดแล้ว พร้อมจะฟังเทศน์แ้ล้วครับ"
พระเซน : " อ้าว ยังไม่ได้ฟังอีกเหรอ เทศน์จบแล้วไง"
ชาวเมือง : "ยังไงครับท่าน"
พระเซน : " ก็ตอนที่ร่างกายคุณเต็มไปด้วยโคลนเน่าๆ ก็เปรียบเสมือนโจรเหล่านั้นที่ยังมือบอดอยู่ยังไม่กลับใจ เมื่อคุณอาบน้ำล้างตัวก็เปรียบเสมือนดังว่าพระราชากำลังทำให้โจรเหล่านั้น กลับใจ เมื่อคุณอาบน้ำเสร็จ ก็เปรียบดัง โจรเหล่านั้นได้กลับใจแล้ว และเมื่อคุณแปะแป้งกลิ่นหอมฉุยก็เปรียบดังว่าโจรเหล่านี้จะไปทำความดีสู่ผู้ อื่นได้ และการที่คุณได้ช่วยชีวิตปลาให้รอดชีวิต ก็เปรียบดังว่าคุณก็ควรจะช่วยโจรเหล่านั้นให้มีชีวิตรอดอีกครั้งเหมือนกัน"
ชาวเมืองหลายคนพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างสงบ แต่กระนั้นก็มีชาวเมืองบางคนอดสงสัยไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า " ทำไมท่านจึงดีกับพวกโจรพวกนั้นนักหนา ทั้งๆที่โจรพวกนั้น ชั่วช้าเหลือเกิน และชอบทำความเดือดร้อนให้คนอื่นเสมอ ท่านไม่เกลียดเขาเหรอ"
พระเซนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งมาก เงียบสงบมากว่า "เกลียด!! เกลียดซิ ต้องกำจัดให้หมดไป"
ชาวเมืองฟังแล้ว งง และถึงกับอึ้งกันไปยกใหญ่เลยทีเดียว "เกลียด!! เกลียดแล้วทำไมช่วย ช่วยอย่างเมตตาซะด้วย" เอ๊ะทำไมพระพูดขัดกับการกระทำ หลายคนครุ่นคิดในใจ
ในขณะที่ทุกคนกำลังงและครุ่นคิดอยู่นั้น พระเซนก็พูดต่อว่า
" ที่อาตมาว่าเกลียดนั้น อาตมาเกลียดความเลวที่อยู่ในตัวคน อาตมาไม่ได้เกลียดตัวคนหรอก คนทุกคนดีหมด บริสทธิ์หมดแหละ แต่ความเลวต่างหากที่มันไม่ดี ไม่ใช่คนไม่ดี ดังนั้นอาตมาได้เกลียดคน แต่เกลียดความเลวในตัวคนต่างหาก" พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
เมื่อจับปลาไปปล่อยเสร็จ พระเซนก็ถามว่า สภาพพวกท่านตอนนี้เป็นอย่างไร
ชาวเมืองตอบว่า " อื้อฮือ เลอะเทะ มอมแมม สกปรก ไปหมดเลยครับท่าน แถมมีกลิ่นเหม็นของโคลนเน่าๆติดตัวมาด้วยอีกต่างหากครับ" อ๊วกกก เสียงบางคนอาเจียรเพราะทนกลิ่นเหม็นของโคลนไม่ไหว
พระเซน : " งั้นพวกท่านไปอาบน้ำล้างตัวกันก่อนเถอะ แล้วค่อยมาเจอเรา" ชาวเมืองรีบกลับไปอาบน้ำล้างตัวจนสะอาดสะอ้านหมดจด พลางปะแป้ง หอมฉุนเสียด้วย แล้วรีบกลับมาหาพระเซนด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล
ชาวเมือง : "ตอนนี้พวกเราอาบน้ำแล้วครับ ร่างกายสะอาดแล้ว พร้อมจะฟังเทศน์แ้ล้วครับ"
พระเซน : " อ้าว ยังไม่ได้ฟังอีกเหรอ เทศน์จบแล้วไง"
ชาวเมือง : "ยังไงครับท่าน"
พระเซน : " ก็ตอนที่ร่างกายคุณเต็มไปด้วยโคลนเน่าๆ ก็เปรียบเสมือนโจรเหล่านั้นที่ยังมือบอดอยู่ยังไม่กลับใจ เมื่อคุณอาบน้ำล้างตัวก็เปรียบเสมือนดังว่าพระราชากำลังทำให้โจรเหล่านั้น กลับใจ เมื่อคุณอาบน้ำเสร็จ ก็เปรียบดัง โจรเหล่านั้นได้กลับใจแล้ว และเมื่อคุณแปะแป้งกลิ่นหอมฉุยก็เปรียบดังว่าโจรเหล่านี้จะไปทำความดีสู่ผู้ อื่นได้ และการที่คุณได้ช่วยชีวิตปลาให้รอดชีวิต ก็เปรียบดังว่าคุณก็ควรจะช่วยโจรเหล่านั้นให้มีชีวิตรอดอีกครั้งเหมือนกัน"
ชาวเมืองหลายคนพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างสงบ แต่กระนั้นก็มีชาวเมืองบางคนอดสงสัยไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า " ทำไมท่านจึงดีกับพวกโจรพวกนั้นนักหนา ทั้งๆที่โจรพวกนั้น ชั่วช้าเหลือเกิน และชอบทำความเดือดร้อนให้คนอื่นเสมอ ท่านไม่เกลียดเขาเหรอ"
พระเซนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งมาก เงียบสงบมากว่า "เกลียด!! เกลียดซิ ต้องกำจัดให้หมดไป"
ชาวเมืองฟังแล้ว งง และถึงกับอึ้งกันไปยกใหญ่เลยทีเดียว "เกลียด!! เกลียดแล้วทำไมช่วย ช่วยอย่างเมตตาซะด้วย" เอ๊ะทำไมพระพูดขัดกับการกระทำ หลายคนครุ่นคิดในใจ
ในขณะที่ทุกคนกำลังงและครุ่นคิดอยู่นั้น พระเซนก็พูดต่อว่า
" ที่อาตมาว่าเกลียดนั้น อาตมาเกลียดความเลวที่อยู่ในตัวคน อาตมาไม่ได้เกลียดตัวคนหรอก คนทุกคนดีหมด บริสทธิ์หมดแหละ แต่ความเลวต่างหากที่มันไม่ดี ไม่ใช่คนไม่ดี ดังนั้นอาตมาได้เกลียดคน แต่เกลียดความเลวในตัวคนต่างหาก" พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
เรื่องที่ 4 ลูบขา
นานมาแล้ว ณ ที่ทำงานแห่งหนึ่ง เป็นที่ทำงานที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะพนักงานแต่ละคนไม่ถูกกันเลย วันๆเอาแต่จับกลุ่มนินทา ใส่ร้ายป้ายสี หรือ บางทีก็ว่าให้กันแรงๆ
กล่าวถึงผู้จัดการ เขารู้สึกอิดหนาระอาใจเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีพนักงานของเขาจึงจะเลิกนิสัยอย่างนี้เสียที วันหนึ่งผู้จัดการได้ยินมาว่ามีพระเซนรูปหนึ่งที่จาริกธุดงมาใหม่ ท่านมีวิธีสอนให้คนคิดได้แบบแปลกๆ ว่าแล้วก็เลยพาพนักงานทุกคนไปหาพระเซนองค์นั้นทันที
เมื่อไปถึงพระเซนได้ให้พนักงานแต่ละคนนั่งบนเก้ากี้ที่จัดไว้เป็นรูปวงกลม
จากนั้นพระเซนได้พูดขึ้นว่า " ทุกคนลองค่อยๆลูบขาตัวเองซิ
....ลูบลง....ลูบขึ้น.... แต่ละคนรู้สึกอย่างไรบ้าง "
พระเซนถามพนักงานแต่ละคน
"ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลยครับ" พนักงานแต่ละคนดูเหมือนจะตอบคล้ายๆกัน
จากนั้นพระเซนให้คำสั่งใหม่ว่า ต่อไปให้ทุกคนวางมือไว้ที่ขาของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งสองคน จากนั้น....ค่อยๆ ลูบลง....ลูบขึ้น....
....เสียวววว ...เสียวววว...เสียวววว
เสียงร้องโหยหวนแผ่วเบามาจากบางคน)
.... แต่ละคนรู้สึกอย่างไรบ้าง " พระเซนถามพนักงานแต่ละคน
"โอ้!! รู้สึกเสียวมากเลยครับ" เสียงแว่วมาจากพนักงานบางคน
จากนั้นมีพนักงานบางคนเสริมขึ้นว่า "ช่างแตกต่างจากตอนลูบขาตัวเองเหลือเกิน เพราะลูบขาตัวเองไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย แต่คนอื่นลูบขาเรานี่ซิ เสียววว ที่สุดเลยครับ" พูดจบพนักงานคนอื่นก็พากันหัวเราะฮาระเบิดกันทั้งวัด
แต่เสียงหัวเราะต้องเงียบสงัดลงทันทีเมื่อพระเซนพูดขึ้นว่า " ในชีวิตการทำงานของเราก็เหมือนการเล่นเกมลูบขานี่แหละ เรากระทำต่อคนอื่นก็เปรียบเสมือนเราลูบขาตนเอง ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้ามีคนอื่นมากระทำต่อเรา มาว่าเราละก็ เราจะตายให้ได้ เหมือนโดนลูบขายังไงยังงั้นแหละ ฉนั้นเวลาที่จะกระทำอะไรต่อบุคคลอื่น โปรดคิดให้ถี่ถ้วนก่อนค่อยทำเพราะคนรับเขารู้สึกได้มากกว่าเราผู้ทำ" พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
"ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลยครับ" พนักงานแต่ละคนดูเหมือนจะตอบคล้ายๆกัน
จากนั้นพระเซนให้คำสั่งใหม่ว่า ต่อไปให้ทุกคนวางมือไว้ที่ขาของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งสองคน จากนั้น....ค่อยๆ ลูบลง....ลูบขึ้น....
....เสียวววว ...เสียวววว...เสียวววว
เสียงร้องโหยหวนแผ่วเบามาจากบางคน)
.... แต่ละคนรู้สึกอย่างไรบ้าง " พระเซนถามพนักงานแต่ละคน
"โอ้!! รู้สึกเสียวมากเลยครับ" เสียงแว่วมาจากพนักงานบางคน
จากนั้นมีพนักงานบางคนเสริมขึ้นว่า "ช่างแตกต่างจากตอนลูบขาตัวเองเหลือเกิน เพราะลูบขาตัวเองไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย แต่คนอื่นลูบขาเรานี่ซิ เสียววว ที่สุดเลยครับ" พูดจบพนักงานคนอื่นก็พากันหัวเราะฮาระเบิดกันทั้งวัด
แต่เสียงหัวเราะต้องเงียบสงัดลงทันทีเมื่อพระเซนพูดขึ้นว่า " ในชีวิตการทำงานของเราก็เหมือนการเล่นเกมลูบขานี่แหละ เรากระทำต่อคนอื่นก็เปรียบเสมือนเราลูบขาตนเอง ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้ามีคนอื่นมากระทำต่อเรา มาว่าเราละก็ เราจะตายให้ได้ เหมือนโดนลูบขายังไงยังงั้นแหละ ฉนั้นเวลาที่จะกระทำอะไรต่อบุคคลอื่น โปรดคิดให้ถี่ถ้วนก่อนค่อยทำเพราะคนรับเขารู้สึกได้มากกว่าเราผู้ทำ" พูดเพียงเท่านี้พระเซนก็เดินจากไป
เรื่องที่ 3 คิดไม่ถึง
การครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งเที่ยวขับรถเก่งคันใหม่ป้ายแดงไปให้ใครต่อใครดู เพื่อที่จะให้คนอื่นชื่นชม หรือไม่ก็เกิดความรู้สึกอิจฉาตนเอง วันหนึ่งชายหนุ่มได้ขับรถคันใหม่นี้ไปอวดเด็กวัด ณ วัดเซนแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่ม : นี่น้อง!! รถเก่งคันสีแดงนี่ของพี่เอง รุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะ ล้อแม็กซะด้วย แถมเบาะก็ทำจากหนังอย่างดี ที่สำคัญมันขับดีมากเลย พี่ชายพี่เพิ่งซื้อให้เองแหละ
เด็กวัดยิ้ม ชื่นชมด้วยความดีใจ
ต่อจากนั้นก็เดินสำรวจดูรถทุกรายละเอียดของรถ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "
ผมอยากเป็นอย่างนั้นบ้างจังเลย ดีจังเลยนะ" ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
พลางคิดในใจว่าเด็กคนนี้กำลังเกิดความอิจฉาเขาอยู่
ต่อมาเด็กวัดยืนนิ่งไปสักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า " ผมมีน้องชายอยู่หนึ่งคน ผมอยากให้น้องชายของผมเห็นรถคันนี้บ้างจังเลย"
ชายหนุ่มพอได้ฟังก็ใจพองโต พลางคิดว่า อ๋อ เด็กวัดคนนี้คงอยากให้น้องมาชื่นชมรถคันงามของเรา ไม่ได้ๆ เราต้องไปให้เขาชื่นชมรถของเราสักหน่อย เราจะได้รู้ว่าน้องของเขาจะชมว่าอย่างไรบ้าง ว่าแล้วชายหนุ่มก็พาเด็กวัดขึ้นรถและพาไปที่บ้าน
เมื่อไปถึงบ้านเด็กวัดรีบวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วจูงมือเด็กเล็กๆคนหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า " นี่น้อง พี่ชายคนนี้พี่ชายเขาซื้อรถให้ พี่ก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่เป็นอย่างพี่ชายของเขานะ โตขึ้นพี่จะเก็บเงินซื้อรถให้น้องเอง"
ชายหนุ่มอึ้งไปกับคำตอบสักครู่ พลางคิดว่า อ้าวนึกว่าเด็กวัดคนนี้อิจฉาเราซะอีก ที่เขาบอกว่าเขาอยากเป็นอย่างนั้นจัง เขาอยากเป็นอย่างพี่ชายเราต่างหากหรือนี่
ชายหนุ่มไม่ได้แค่อึ้งแค่นั้น แต่เขาถึงกับจุกเลยทีเดียว เมื่อได้ยินคำตอบจากน้องของเด็กวัดว่า
" น้องไม่อยากได้รถยนต์หรอกครับพี่ น้องคงไม่มีความสุขแน่ ถ้าพี่ต้องทำงานหนักในขณะที่น้องสบาย ทุกวันนี้น้องมีความสุขแล้ว ที่พี่ความรักให้น้อง ซึ่งมีค่ายิ่งกว่ารถยนต์เสียอีก "
ต่อมาเด็กวัดยืนนิ่งไปสักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า " ผมมีน้องชายอยู่หนึ่งคน ผมอยากให้น้องชายของผมเห็นรถคันนี้บ้างจังเลย"
ชายหนุ่มพอได้ฟังก็ใจพองโต พลางคิดว่า อ๋อ เด็กวัดคนนี้คงอยากให้น้องมาชื่นชมรถคันงามของเรา ไม่ได้ๆ เราต้องไปให้เขาชื่นชมรถของเราสักหน่อย เราจะได้รู้ว่าน้องของเขาจะชมว่าอย่างไรบ้าง ว่าแล้วชายหนุ่มก็พาเด็กวัดขึ้นรถและพาไปที่บ้าน
เมื่อไปถึงบ้านเด็กวัดรีบวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วจูงมือเด็กเล็กๆคนหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า " นี่น้อง พี่ชายคนนี้พี่ชายเขาซื้อรถให้ พี่ก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่เป็นอย่างพี่ชายของเขานะ โตขึ้นพี่จะเก็บเงินซื้อรถให้น้องเอง"
ชายหนุ่มอึ้งไปกับคำตอบสักครู่ พลางคิดว่า อ้าวนึกว่าเด็กวัดคนนี้อิจฉาเราซะอีก ที่เขาบอกว่าเขาอยากเป็นอย่างนั้นจัง เขาอยากเป็นอย่างพี่ชายเราต่างหากหรือนี่
ชายหนุ่มไม่ได้แค่อึ้งแค่นั้น แต่เขาถึงกับจุกเลยทีเดียว เมื่อได้ยินคำตอบจากน้องของเด็กวัดว่า
" น้องไม่อยากได้รถยนต์หรอกครับพี่ น้องคงไม่มีความสุขแน่ ถ้าพี่ต้องทำงานหนักในขณะที่น้องสบาย ทุกวันนี้น้องมีความสุขแล้ว ที่พี่ความรักให้น้อง ซึ่งมีค่ายิ่งกว่ารถยนต์เสียอีก "
เรื่องที่ 2 มดขนข้าว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายงานที่กำลังทำอยู่เป็นอย่างมาก เขาพยายามทำดีที่สุดแล้วแต่งานก็ยังออกมาไม่ดีเลย ซ้ำร้ายเขายังรู้สึกว่าปัญหาในการทำงานทำไมมันมากขึ้นทุกวันๆ
ด้วยความเครียดอย่างหนักชายหนุ่มจึงขับรถหนีออกมาจากที่ทำงาน โดยไม่บอกกล่าวผู้ใด เขาขับรถไปโดยไม่มีจุดหมายว่าจะไปที่ใด ขับไปเรื่อยๆตามทาง แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้านสาขาร่มรื่นดี เขาจึงหยุดรถและคิดว่าจะไปเอนกายนอนใต้ต้นไม้นั้นดีกว่า
ขณะชายหนุ่มกำลังจะเอนตัวนอน เขาต้องสดุดกับอะไรบางอย่าง
เจ้ามดน้อยนั่นเองมันกำลังง่วนอยู่กับการใช้ปากคาบเมล็ดข้าวเหนียวที่ติด
แน่นอยู่กับพื้นดินให้ได้ เจ้ามดน้อยค่อยๆคาบและดึงเมล็ดข้าว
ดึงทางขวาไม่สำเร็จ ก็หมุนตัวไปคาบและดึงทางซ้าย
ดึงทางซ้ายไม่สำเร็จก็หมุนตัวไปคาบและดึงทางใหม่
แต่ยังไงเสียเมล็ดข้าวเหนียวก็ยังไม่หลุด ไม่หลุดเจ้ามดก็หามุมใหม่
คาบด้วยดึงด้วยอย่างนั้นแหละ นานเป็นชั่วโมงทีเดียว
และแล้วในที่สุดเมล็ดข้าวก็หลุดออกมาจนได้
เหตุการณ์นี้ทำเอาชายหนุ่มแอบลุ้นด้วยความดีใจ แต่ภาระกิจเจ้ามดยังไม่หมดแค่นี้ ชายหนุ่มยังต้องลุ้นต่อว่าเจ้ามดจะเอาเมล็ดข้าวเหนียวนี้กลับไปถึงรังได้ อย่างไร เพราะขนาดเมล็ดข้าวเหนียวใหญ่กว่าตัวเจ้ามากทีเดียว
เจ้ามดไม่รอช้ารีบใช้ปากคาบเมล็ดข้าวเหนียวให้แน่นแล้วออกกำลังสุดแรงหวังจะ เอาไปให้เร็วที่สุด แต่กระนั้นก็ดูเหมือนเมล็ดข้าวเหนียวจะกระดิกไปเพียงนิดหนึ่งเท่านั้น เจ้ามดไม่ละความพยายาม ค่อยๆดันค่อยๆลากอย่างอดทนเป็นหลายชั่วโมงทีเดียว และแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เจ้ามดก็ลากไปถึงรังจนได้ เหตุการณ์นี้ทำเอาชายหนุ่มอึ้งซ้ำสองเลยทีเดียว
เหตุการณ์ยังไม่จบแค่นั้นชายหนุ่มต้องอึ้งซ้ำสามอีก เพราะเมล็ดข้าวเหนียวที่เจ้ามดน้อยลากมานั้น มันไม่ได้เอามากินแต่เพียงผู้เดียว ขณะนี้มีเจ้ามดน้อยตัวอื่นๆอีก นับหลายสิบตัวมาร่วมกันกินเมล้ดข้าวเหนียวอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่เจ้ามดน้อยที่ลากมานั้นยืนมองดูอย่างมีความสุข
เหตุการณ์นี้ทำเอาชายหนุ่มแอบลุ้นด้วยความดีใจ แต่ภาระกิจเจ้ามดยังไม่หมดแค่นี้ ชายหนุ่มยังต้องลุ้นต่อว่าเจ้ามดจะเอาเมล็ดข้าวเหนียวนี้กลับไปถึงรังได้ อย่างไร เพราะขนาดเมล็ดข้าวเหนียวใหญ่กว่าตัวเจ้ามากทีเดียว
เจ้ามดไม่รอช้ารีบใช้ปากคาบเมล็ดข้าวเหนียวให้แน่นแล้วออกกำลังสุดแรงหวังจะ เอาไปให้เร็วที่สุด แต่กระนั้นก็ดูเหมือนเมล็ดข้าวเหนียวจะกระดิกไปเพียงนิดหนึ่งเท่านั้น เจ้ามดไม่ละความพยายาม ค่อยๆดันค่อยๆลากอย่างอดทนเป็นหลายชั่วโมงทีเดียว และแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เจ้ามดก็ลากไปถึงรังจนได้ เหตุการณ์นี้ทำเอาชายหนุ่มอึ้งซ้ำสองเลยทีเดียว
เหตุการณ์ยังไม่จบแค่นั้นชายหนุ่มต้องอึ้งซ้ำสามอีก เพราะเมล็ดข้าวเหนียวที่เจ้ามดน้อยลากมานั้น มันไม่ได้เอามากินแต่เพียงผู้เดียว ขณะนี้มีเจ้ามดน้อยตัวอื่นๆอีก นับหลายสิบตัวมาร่วมกันกินเมล้ดข้าวเหนียวอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่เจ้ามดน้อยที่ลากมานั้นยืนมองดูอย่างมีความสุข
เรื่องที่ 1 ชาล้นถ้วย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพระราชาองค์หนึ่ง ซึ่งมากล้นด้วยทิฐิมานะ ชอบมองว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่และมีความฉลาดมากกว่าใครๆวันหนึ่งพระราชาทราบ ว่ามีพระเซนรูปหนึ่งได้จาริกธุดงมาในเขตแว่นแคว้นของตน จึงมีรับสั่งให้ทหารไปนิมนต์พระเซนมาแสดงธรรมให้ฟัง แต่แท้ที่จริงแล้วต้องการทดสอบระดับปัญญาของพระเซนว่าจะฉลาดสักเท่าใด
.......เมื่อพระเซนมาถึง พระราชาได้ใช้คำถามเคลือบแคลง และ ชอนไชหลายอย่าง แต่พระเซนก็ไม่โต้ตอบด้วยประการใด มีแต่อาการรนิ่งเงียบสงบ ยิ่งทำให้พระราชารู้สึกลำพองใจเป็นยิ่งนักว่าตนฉลาดเหลือเกิน
.......แท้ที่จริงแล้วพระเซนรู้ดีว่า พระราชามีทิฐิมานะมากและไม่เปิดใจเรียนรู้ ถึงแม้จะพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ จากนั้นพระเซนได้นิ่งคิดสักครู่ ชั่วปัจจุบันขณะพระเซนจึงคิดอุบายคลายทิฐิมานะพระราชาลงได้
พระเซน : " มหาบพิตรเป็นบุญของอาตมาที่ได้มาพบพระองค์ ขออาตมาได้ถวายชาเป็นการถวายพระพรด้วยเถิด "
เมื่อพระราชาได้ฟังก็ดีใจเป็นหนักหนาว่าพระยอมจำนนต่อความฉลาดของตนเองจึงตอบโดยไม่คิดว่า " ได้ซิ ได้ซิ เชิญเลย "
พระเซนค่อยๆ หยิบกาน้ำชามาอย่างเนิ่นช้า รินน้ำชาเบาๆ แทบไม่ได้ยินเสียงชากระทบถ้วย สายน้ำชาไหลลงสู่ถ้วยจนชา ... ค่อนแก้ว.....ครึ่งแก้ว.....เต็มแก้ว.....ล้นแก้ว.....และล้นล้นแก้ว แต่พระเซนก็ยังไม่หยุดริน พระราชาเห็นดังนั้นจึงรีบตวาดเสียงดังว่า " นี่พระ!!! หยุดได้แล้ว ท่านจะรินไปทำไม ท่านไม่เห็นเหรอน้ำชาเต็มถ้วยแล้ว รินไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หยุดหยุดเสียที "
เมื่อพระเซนได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า " เช่นเดียวกันมหาบพิตร การที่พระองค์ปิดใจเรียนรู้เปรียบเสมือนชาที่เต็มถ้วยแล้ว ต่อให้อาตมาพูดอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ หากพระองค์ประสงค์จะฟังธรรมของอาตมาจริงๆแล้วไซ้ จงคลายทิฐมานะลง เปิดใจเรียนรู้ แล้วฟังอย่างตั้งใจ อาตมาจะแสดงให้ฟัง"
เมื่อพระราชาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก มีความศรัทธาในตัวพระเซนเป็นอย่างมาก จากนั้นพระเซนก็ได้แสดงธรรมให้ฟัง เมื่อฟังธรรมจากพระเซนแล้ว พระราชาก็ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ เป็นพระราชาที่ดี มีจิตใจดีงาม มุ่งสร้างประโยชน์ให้ชาวเมืองมีความสุข นับว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองเสียจริงๆ
เมื่อพระราชาได้ฟังก็ดีใจเป็นหนักหนาว่าพระยอมจำนนต่อความฉลาดของตนเองจึงตอบโดยไม่คิดว่า " ได้ซิ ได้ซิ เชิญเลย "
พระเซนค่อยๆ หยิบกาน้ำชามาอย่างเนิ่นช้า รินน้ำชาเบาๆ แทบไม่ได้ยินเสียงชากระทบถ้วย สายน้ำชาไหลลงสู่ถ้วยจนชา ... ค่อนแก้ว.....ครึ่งแก้ว.....เต็มแก้ว.....ล้นแก้ว.....และล้นล้นแก้ว แต่พระเซนก็ยังไม่หยุดริน พระราชาเห็นดังนั้นจึงรีบตวาดเสียงดังว่า " นี่พระ!!! หยุดได้แล้ว ท่านจะรินไปทำไม ท่านไม่เห็นเหรอน้ำชาเต็มถ้วยแล้ว รินไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หยุดหยุดเสียที "
เมื่อพระเซนได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า " เช่นเดียวกันมหาบพิตร การที่พระองค์ปิดใจเรียนรู้เปรียบเสมือนชาที่เต็มถ้วยแล้ว ต่อให้อาตมาพูดอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ หากพระองค์ประสงค์จะฟังธรรมของอาตมาจริงๆแล้วไซ้ จงคลายทิฐมานะลง เปิดใจเรียนรู้ แล้วฟังอย่างตั้งใจ อาตมาจะแสดงให้ฟัง"
เมื่อพระราชาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก มีความศรัทธาในตัวพระเซนเป็นอย่างมาก จากนั้นพระเซนก็ได้แสดงธรรมให้ฟัง เมื่อฟังธรรมจากพระเซนแล้ว พระราชาก็ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ เป็นพระราชาที่ดี มีจิตใจดีงาม มุ่งสร้างประโยชน์ให้ชาวเมืองมีความสุข นับว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองเสียจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)